ILM ทุ่ม 200 ล้าน ผุดโมเดลใหม่ ดึง ‘Flying Tiger Copenhagen’ รุกตลาดไลฟ์สไตล์

25 ก.ย. 2568 | 22:05 น.

ILM ประกาศกลยุทธ์ครั้งใหญ่ ขยายอาณาจักรค้าปลีกสู่เซ็กเมนต์ใหม่ด้วยการคว้าสิทธิ์แฟรนไชส์แต่เพียงผู้เดียวในไทยสำหรับแบรนด์สินค้าดีไซน์ชื่อดังระดับโลกอย่าง ‘Flying Tiger Copenhagen’จากประเทศเดนมาร์ก ปูพรมขยายรวม 30 สาขา ทั่วประเทศภายใน 3 ปี ตั้งเป้ากวาดรายได้ 800 ล้านบาท ภายในปี 2570

KEY

POINTS

  • อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (ILM) ทุ่มงบลงทุน 200 ล้านบาท คว้าสิทธิ์แฟรนไชส์ ‘Flying Tiger Copenhagen’ แบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์จากเดนมาร์ก
  • เป็นการขยายธุรกิจโมเดลใหม่เพื่อรุกตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์และของขวัญ ซึ่งมีมูลค่ากว่า 30,300 ล้านบาท เพื่อสร้างการเติบโตนอกเหนือจากธุรกิจหลัก
  • ตั้งเป้าขยายสาขาให้ครบ 30 แห่งทั่วประเทศภายใน 3 ปี โดยจะเปิด 6 สาขาแรกภายในปีนี้ นำร่องที่ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์

นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM เปิดเผยว่า ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “INDEX NEXTPERIENCE & BEYOND + SUSTAINABLE FUTURE” ในช่วง 3 ปี (2567-2569) มีเป้าหมายสำคัญในการขับเคลื่อนสู่ "Beyond Core Business" เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

โดยการคว้าแฟรนไชส์ ‘Flying Tiger Copenhagen’ ถือเป็นดีลครั้งสำคัญในการขยายพอร์ตโฟลิโอธุรกิจค้าปลีกไปสู่กลุ่มสินค้าวาไรตี้และไลฟ์สไตล์ ซึ่งยังคงมี Synergy กับธุรกิจหลักอย่างเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน

ตลาดไลฟ์สไตล์คึกคัก มูลค่าโตต่อเนื่อง

ตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์** และของขวัญในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง **30,300 ล้านบาท** ในปี 2567 และมีการเติบโตอย่างรวดเร็วถึง 7% จากปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และธุรกิจแฟรนไชส์ที่เติบโตสูงสุดถึง 66.7% สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials ที่มองหาสินค้าดีไซน์แปลกใหม่และมอบความสุขเล็กๆ ให้กับชีวิตประจำวัน

ILM ทุ่ม 200 ล้าน ผุดโมเดลใหม่ ดึง ‘Flying Tiger Copenhagen’ รุกตลาดไลฟ์สไตล์

‘Flying Tiger Copenhagen’ ที่นำเสนอสินค้ากว่า 1,700 รายการ ใน 14 กลุ่ม ในราคาที่เข้าถึงง่าย เริ่มต้นเพียง 35 บาท จึงเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในตลาดที่ยังมีสินค้าสไตล์เดนิชที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร

ปูพรม 30 สาขา ใน 3 ปี ตั้งเป้า 800 ล้าน

ILM วางแผนขยายสาขา ‘Flying Tiger Copenhagen’ โดยใช้งบลงทุนรวม 200 ล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุม 30 สาขาทั่วประเทศภายในปี 2570 ซึ่งจะเน้นทำเลในศูนย์การค้าชั้นนำที่มีทราฟฟิกสูง และในรูปแบบ Shop in Shopในห้างอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ โดยประเดิมสาขาแรกที่ เอ็มสเฟียร์ พื้นที่ 160 ตารางเมตร และมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 5 สาขาภายในปีนี้ ที่พัทยา, แฟชั่นไอส์แลนด์, ซีคอนสแควร์, แพลทินัม แฟชั่นมอลล์ และเดอะมอลล์ บางกะปิ

ILM ทุ่ม 200 ล้าน ผุดโมเดลใหม่ ดึง ‘Flying Tiger Copenhagen’ รุกตลาดไลฟ์สไตล์

ด้านนาย Martin Jermiin ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Zebra A/S เจ้าของแบรนด์ ‘Flying Tiger Copenhagen’ แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดและพันธมิตรอย่างอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ว่าจะสามารถสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งร่วมกันได้ในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียงอีกหนึ่งตลาด แต่เป็นจุดหมายปลายทางสำคัญในการขยายธุรกิจในระดับโลก

นางสาวกฤษชนก เปิดเผยว่า เศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ผู้บริโภคลังเลต่อการซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ เช่น เฟอร์นิเจอร์ชุดใหญ่หรือบ้านใหม่ ส่งผลให้ ILM ต้องวางกลยุทธ์ “ค่อยเป็นค่อยไป” ในการขยายธุรกิจเฟอร์นิเจอร์หลัก แต่ขณะเดียวกันก็เลือกลงทุนในธุรกิจที่ตอบโจทย์กำลังซื้อปัจจุบัน

ทั้งนี้นางสาวกฤษชนก เปิดมุมมองต่อภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้ว่าแม้ธุรกิจยังสามารถเติบโตได้ แต่การขยายตัวอยู่ในระดับต่ำเพียงตัวเลขหลักเดียว สะท้อนกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ ปัจจัยสำคัญคือภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัว ทำให้ความต้องการเฟอร์นิเจอร์ใหม่ลดลง ลูกค้าส่วนใหญ่หันมาใช้จ่ายในรูปแบบการรีโนเวทบ้านมากกว่าซื้อบ้านใหม่

ILM ทุ่ม 200 ล้าน ผุดโมเดลใหม่ ดึง ‘Flying Tiger Copenhagen’ รุกตลาดไลฟ์สไตล์

“เรายอมรับว่าธุรกิจหลักของ ILM ยังเติบโตได้ราว 3% ซึ่งถือว่าเก่งมากในภาวะปัจจุบัน และแม้กำไรจะยังขยายตัวจากปีก่อน แต่ก็ไม่หวือหวาเหมือนในอดีต การขยายธุรกิจจึงต้องเดินแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อความมั่นคง โดยธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ยังคงเน้นความแตกต่างจากคู่แข่งผ่านการออกแบบสินค้าเองทั้งหมด สร้างเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร”

สำหรับครึ่งปีหลัง นางสาวกฤษชนก ประเมินว่าสถานการณ์จะไม่ต่างจากช่วงต้นปีมากนัก การเติบโตยังทรงตัว รอปัจจัยบวกจากภาครัฐ โดยมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นอย่าง “ช้อปดีมีคืน” สามารถช่วยดึงกำลังซื้อได้จริงมากกว่านโยบายอื่น ๆ ที่ผ่านมา เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต หรือ Easy e-Receipt ที่ช่วงหลังผลลัพธ์ค่อย ๆ ลดลง

อย่างไรก็ตามการผ่อนคลายเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อบ้านของสถาบันการเงินเป็นอีกปัจจัยสำคัญ หากธนาคารลดความเข้มงวด จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น และส่งผลเชิงบวกต่อเนื่องไปยังธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งบ้านทั้งหมด

“ลูกค้าหลายรายจองบ้านไว้แต่กู้ไม่ผ่านเพราะนโยบายเข้มงวด ทำให้ไม่สามารถซื้อได้จริง กระทบต่อทั้งประชาชนและธุรกิจปลายน้ำ เราอยากเห็นการผ่อนคลายตรงนี้เพื่อช่วยฟื้นกำลังซื้อ” เธอกล่าว พร้อมย้ำว่าหากรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่ชัดเจน โดยเฉพาะช่วงปลายปี จะเป็นแรงหนุนให้ธุรกิจค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์กลับมาคึกคักมากขึ้น