KEY
POINTS
กว่า 67 ปี ของ "สยามพิวรรธน์" บนเส้นทางธุรกิจสะท้อนให้เห็นถึง การไม่หยุดนิ่งพร้อมความกล้าที่จะสร้างสิ่งใหม่ให้โลกได้เห็น ด้วยความมุ่งมั่น เดินหน้าไม่ได้เพียงแค่สร้างศูนย์การค้าแต่ได้สร้างเวทีระดับโลก “แพลตฟอร์มแห่งโอกาส” ที่เชื่อมโยงธุรกิจ ผู้คน ชุมชน และโลกเข้าไว้ด้วยกัน ผ่านแนวคิด “วิถีสยามพิวรรธน์”
การสร้างปรากฎการณ์ทางธุรกิจพร้อมกับการเติบโตที่ยั่งยืนเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่า สยามพิวรรธน์ คือ "Game Changer” ตัวจริงที่บุกเบิกและยกระดับวงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ของไทย นับตั้งแต่โครงการ Siam Center ศูนย์การค้าแห่งแรกของประเทศ ซึ่งวางรากฐานวงการค้าปลีก และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยแจ้งเกิดในอุตสาหกรรมแฟชั่น
ความกล้าที่จะสร้างสิ่งใหม่นี้ ได้ต่อยอดสู่การเป็นต้นแบบ Mixed-Use Complex ยุคแรก ผ่าน Siam Tower อาคารสำนักงาน และโรงแรม Intercontinental ซึ่งดึงดูดการลงทุนของโรงแรมหรูระดับโลกให้กล้าลงทุนในไทย
ก่อนต่อยอดพัฒนา Siam Paragon โปรเจกต์ระดับโลก ซึ่งเป็น แม่เหล็กสำคัญ ที่พร้อมดึงดูดแบรนด์ลักชัวรีมากมาย และผลักดันให้ประเทศไทยเป็น จุดหมายปลายทางการลงทุนและท่องเที่ยวระดับโลก รวมถึงการสร้างและปรับโฉม Siam Discovery สู่ Hybrid Retail ทั้งหมดนี้คือการสะท้อนจิตวิญญาณของ Game Changer ที่เปลี่ยนโฉมวงการค้าปลีกไทยและยกระดับภาพลักษณ์ประเทศสู่เวทีโลกอย่างแท้จริง
รวมถึง “ไอคอนสยาม” ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น “ต้นแบบกระบวนการพัฒนาโครงการที่ครบวงจร” ที่เหนือกว่าการเป็นเพียงศูนย์การค้า แต่เป็นการ “เปลี่ยนเกม” พัฒนาเมือง (Urban Transformation) ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ที่ต้องการสร้างเมืองและอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถรองรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสมัยใหม่ได้อย่างครบวงจร การยกระดับนี้ทำให้ทำเลฝั่งธนบุรีมีความน่าดึงดูดและมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
การผนึกความร่วมมือของ “สยามพิวรรธน์” กับ 13 ชุมชนริมแม่น้ำ เจ้าพระยา ผู้ประกอบการท้องถิ่น และภาคธุรกิจริมแม่น้ำ เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการนี้จะสร้างขึ้นจากการมีส่วนร่วมและผลประโยชน์ร่วมกัน (Co-Creation and Shared Value) ของผู้คน ชุมชน คู่ค้า และสังคม โดยมีเป้าหมายหลักคือการ ทำให้คนฝั่งธนบุรีภูมิใจในที่อยู่ของตนเอง
ตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ “ไอคอนสยาม” เปิดให้บริการ ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกกว่า 115 ล้านคน รายได้ของศูนย์การค้าเติบโตเฉลี่ย 24.2% ต่อปี สามารถดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ 5,000 ล้านบาท แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณถดถอย สร้างงานมากกว่า 400,000 อัตรา ซึ่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวโครงการเอง แต่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโดยรอบอย่างเป็นรูปธรรม ในฐานะ “แม่เหล็กการท่องเที่ยวระดับโลก” มีการจัดงานระดับโลก จำนวน 4,900 อีเวนท์ โครงการได้ยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศจนได้รับการยกย่องจาก CNN ว่าเป็น 1 ใน 3 จุดหมายปลายทางของคืนข้ามปีที่ดีที่สุดในโลก
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจในพื้นที่ก็ได้เติบโตอย่างมหาศาล โดยราคาประเมินที่ดินบริเวณไอคอนสยาม พุ่งทะยานจาก 250,000 บาทต่อตารางวา เป็น 700,000 บาท และมีแนวโน้มว่าอาจสูงถึงตารางวาละ 1 ล้านบาท พร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิด โครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบต่าง ๆ ตามมาถึง 60 โครงการ ในพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตรรอบโครงการ
ส่วนภาคธุรกิจอื่นๆ เติบโตอย่างได้ชัดเช่นกัน โดยเฉพาะธุรกิจที่ตั้งบนริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เติบโตขึ้น 40% ขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยวทางน้ำเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้โรงแรมโดยรอบมีผลประกอบการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความนิยมนี้ส่งผลหใราคาห้องพักเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 50% และมีอัตราการเข้าพักที่สูงกว่า 85% เมื่อมีนักท่องเที่ยวและโครงการ
ความเชื่อมั่นจากพันธมิตรระดับโลกในศักยภาพอันไม่มีที่สิ้นสุดของ ไอคอนสยาม ได้สะท้อนผ่านการแสดงเจตจำนงในการร่วมเปิดสโตร์แห่งใหม่ หรือขยายพื้นที่ให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งตอกย้ำถึงสถานะของโครงการที่พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย ในฐานะศูนย์กลางค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก
“ชฎาทิพ จูตระกูล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ กล่าวว่า แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ค่อยดี ผู้ประกอบการระดับโลกจำนวนมากต่างขอขยายพื้นที่ในศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์ แรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้แบรนด์เหล่านี้มั่นใจในการลงทุนครั้งประวัติการณ์ คือ ยอดขายที่เหนือชั้น ลักชัวรีแบรนด์ที่จำหน่ายในศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์ทุกแบรนด์ต่างติดอันดับ ท็อป 5 หรือ ท็อป 10 ของโลก โดยยอดขายลักชัวรีแบรนด์ที่มาจากไอคอนสยามและสยามพารากอนรวมกัน คิดเป็น 75% ของรายได้ทั้งพอร์ตในประเทศไทย”
สำหรับแผนการขยายพื้นที่ครั้งยิ่งใหญ่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เห็นได้ว่า มีแบรนด์กว่า 52 แบรนด์ ประกอบด้วยทั้งแบรนด์สินค้าลักเซอรี่ และผู้ประกอบการไทย ทยอยเปิดให้บริการที่ ไอคอนสยาม โดยมีการลงทุนรวมมีมูลค่าสูงถึง 1,500 ล้านบาท ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนผลประกอบการอย่างต่อเนื่องในอีก 2 ปีข้างหน้า
โดยแบรนด์ต่างๆ ประกอบด้วย Hermès เตรียมปรับโฉมเป็นแฟล็กชิปแบบ สองชั้น (Duplex) แห่งแรกของประเทศ พร้อมขยายพื้นที่เพิ่มอีก 500 ตารางเมตร ในทำนองเดียวกัน Prada ก็จะเพิ่มพื้นที่เป็น Duplex แห่งแรกในประเทศไทย เช่นกัน ส่วน Loro Piana ซึ่งเปิดสาขาแรกที่สยามพารากอนแล้ว จะมาเปิดสาขาเพิ่มที่ไอคอนสยามโดยจะมีขนาดใหญ่ที่สุดในไทย
ด้าน Fendi จะเปิดตัว New Concept in Region ซึ่งเป็น Concept ใหม่ล่าสุด และเป็นที่แรกในเอเชีย พร้อมด้วย Facade ที่ได้รับการดีไซน์มาเป็นพิเศษสำหรับไอคอนสยามโดยเฉพาะ ขณะที่ Gentle Monster และ Tamburins เตรียมเปิดร้านขนาดใหญ่มากถึง พันตารางเมตร ในช่วงเดือนธันวาคม และแบรนด์ชั้นนำอื่นๆ อาทิ Burberry, Omega ,Maison Francis Kurkdjian (MFK) ,Club21 Multi Label ,Versace ,Glintz Jewelry ,Carolina Lemke ,Orlebar Brown ,Tiffany & Co. ,KAYOU (Art Toy) รวมทั้งร้านอาหาร อาทิ Bianca , Tonkatsu Aoki , Laderach , Candy Crush เป็นต้น
“การลงทุนขยายพื้นที่ครั้งประวัติการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า ไอคอนสยาม ได้ก้าวไปไกลกว่าการสร้างมาตรฐานระดับโลก โดยยังคงทำหน้าที่เป็น Global Attraction ที่ดึงดูดการลงทุนและเป็น prototype (ต้นแบบ) ที่ผู้ประกอบการระดับโลกต้องศึกษาและเรียนรู้”
ความภาคภูมิใจของคนไทย คือ ในปีนี้ “ไอคอนสยาม” ได้รับคัดเลือกเป็น Finalist เพียงหนึ่งเดียวจากประเทศไทย และหนึ่งในสองโครงการจากเอเชีย ในรางวัล Most Influential Retail Property Project of the Past 30 Years หรือ โครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกที่ทรงอิทธิพลที่สุดในรอบ 30 ปี
ซึ่ง MAPIC Award 2025 ถูกขนานนามว่าเป็น Cannes ของวงการ Retail โดยได้เข้าร่วมแข่งขันกับโครงการระดับโลกอย่าง Dubai Mall (UAE), Battersea Power Station (UK) และ Marina Bay Sands (Singapore) หลังจากเคยสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยมาแล้วในปี 2019 เมื่อคว้ารางวัลชนะเลิศ MAPIC AWARD-- Best Shopping Center 2019 ศูนย์การค้าที่ดีที่สุดในโลก
เส้นทางของสยามพิวรรธน์คือบทพิสูจน์ว่า “วิสัยทัศน์ ความกล้า ความศรัทธา” สามารถเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นจริงได้ ทุกโครงการไม่เพียงสร้างความสำเร็จให้แก่บริษัท แต่ยังสร้างผลลัพธ์เชิงบวกให้แก่สังคม ชุมชน และประเทศ