วันที่ 10 กันยายน 2568 สมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) นำโดย นายสุภาพ คลี่ขจาย นายกสมาคม พร้อมด้วยกรรมการและตัวแทนผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล 15 ช่อง เข้าพบ ศ. คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. โดยมี พลเอก กิตติ เกตุศรี ที่ปรึกษาประจำประธาน กสทช. เป็นผู้แทนรับมอบหนังสือ เพื่อทวงถามความคืบหน้าและเร่งรัดให้มีความชัดเจนในการจัดทำ Roadmap อนาคตอุตสาหกรรมโทรทัศน์ไทย ก่อนใบอนุญาตทีวีดิจิทัลจะสิ้นสุดในเดือนเมษายน 2572
การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากผู้ประกอบการได้ยื่นคำร้องต่อ กสทช. แล้วถึง 3 รอบ แต่ยังไม่มีการบรรจุเข้าสู่วาระพิจารณาอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ประธาน กสทช. ได้รับปากว่าจะเร่งสรุปภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้า ส่งผลให้ผู้ประกอบการแสดงความกังวลต่ออนาคตธุรกิจที่มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า แสนล้านบาท
นายสุภาพ เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลไทยลงทุนมหาศาล ทั้งค่าประมูล ค่าจ้างบุคลากร อาคาร และสตูดิโอ แต่กลับยังไม่มีคำตอบว่าจะเดินหน้าต่ออย่างไรหลังหมดอายุใบอนุญาต “ไม่มีธุรกิจใดที่ลงทุนขนาดนี้แล้วถูกปล่อยให้ไม่รู้ชะตากรรมล่วงหน้า การไม่มี Roadmap ชัดเจน ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถวางแผนธุรกิจหรือการลงทุนได้เลย”
สมาคมฯ ย้ำว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี แต่คือการขาดทิศทางที่ชัดเจนว่าจะต่อใบอนุญาต เปิดประมูลใหม่ หรือปรับไปสู่รูปแบบอื่น ผู้ประกอบการพร้อมปฏิบัติตามทุกเงื่อนไขที่รัฐกำหนด เพียงขอให้มีคำตอบเพื่อเตรียมความพร้อมล่วงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออายุของ กสทช. ชุดปัจจุบันจะสิ้นสุดในปี 2571 หากไม่มีข้อสรุปก่อนหน้านั้น การเปลี่ยนผ่านไปสู่คณะกรรมการชุดใหม่จะยิ่งสร้างสุญญากาศทางนโยบาย
อีกประเด็นที่สร้างความกังวลคือ ใบอนุญาตโครงข่าย (MUX) ที่จะหมดอายุก่อนปี 2571 ซึ่งหากไม่มีการวางแผนรองรับ ประชาชนจะไม่สามารถรับชมทีวีดิจิทัลได้ตามปกติ ขณะเดียวกันสมาคมฯ ได้เสนอแนวทางจัดตั้ง “National Streaming Platform” หรือการใช้ OTT เป็นช่องทางเสริมการเผยแพร่สัญญาณ เพื่อให้ทันกับพฤติกรรมผู้บริโภคและการแข่งขันจากแพลตฟอร์มต่างประเทศ โดยข้อเสนอนี้เคยถูกบรรจุเข้าสู่วาระ กสทช. แต่ยังไม่ได้รับการพิจารณาต่อเนื่อง
สมาคมฯ ระบุว่า การรอคอยที่ยืดเยื้อมาตลอด 2 เดือน และล่าช้าเกินกว่า 10 วันตามที่ประธาน กสทช. เคยรับปากไว้ว่าจะให้คำตอบให้สิ้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาแต่ไร้วี่แวว ซึ่งกำลังสร้างผลกระทบต่อการวางแผนธุรกิจ ทั้งด้านการลงทุน การจัดการบุคลากร และการสื่อสารต่อนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ จึงขีดเส้นตายว่าควรมีข้อสรุปภายในสิ้นปี 2568 นี้อย่างชัดเจน
“วันนี้เราไม่ได้มาเรียกร้องเพื่อประโยชน์เฉพาะกลุ่ม แต่เพื่อให้ประเทศมีทิศทางที่ชัดเจน อุตสาหกรรมทีวีไทยไม่ควรถูกปล่อยให้สับสนเช่นนี้อีกต่อไป” นายสุภาพ กล่าวทิ้งท้าย