นายชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกิน ลาบอราทอรี่ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ภายใต้แบรนด์ “SKINSISTA” และ “Dermie” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า บริษัทเดินหน้าสร้าง New S-Curve โดยเตรียมเสนอขายหุ้น IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) ในปีนี้ หลังจากใช้เวลา 2-3 ปีที่ผ่านมาในการปรับโครงสร้างบริษัท โครงสร้างสินค้า และโครงสร้างช่องทางจำหน่าย เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต หลังจากที่ดำเนินธุรกิจมา 12 ปี ทำให้มีความเข้าใจในพลวัตของตลาดและความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี
“ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาบริษัทลงทุนทั้งเรื่องของบุคลากร ความเร็วในการนำเสนอสินค้าใหม่ (Speed to Market) และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค จึงได้พัฒนาทีม New Product Development ให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการพัฒนาสินค้าใหม่ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป”
ขณะเดียวกันบริษัทได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ช่องทางจำหน่ายจากเดิมที่ใช้แนวคิด “โฟกัสชาแนล” ซึ่งสินค้าแต่ละรูปแบบจะจำหน่ายเพียง 1-2 ช่องทาง มาเป็นการขยายไปสู่ช่องทางที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
“ผู้บริโภคมีการซื้อสินค้าในช่องทางที่หลากหลายมากขึ้น มีทั้งการซื้อสินค้าหน้าร้านและออนไลน์ เราจึงต้องปรับเปลี่ยนด้านช่องทางจำหน่ายเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้เรามีข้อจำกัดเรื่องสัญญาเอ็กซ์คลูซีฟกับบางช่องทาง แต่ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เราได้คลายข้อจำกัดเหล่านี้แล้ว ทำให้สามารถขยายช่องทางได้มากขึ้น”
นอกจากแบรนด์ SKINSISTA ที่เป็นที่รู้จักในกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับผู้มีปัญหาสิว ล่าสุดบริษัทเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “Dermie” ในกลางเดือนพฤษภาคม เพื่อเจาะตลาดเวชสำอางสำหรับผู้มีผิวแพ้ง่าย ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย โดยจะเริ่มวางจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลักในช่วงแรก และจะขยายไปสู่ช่องทางอื่นๆ ในช่วงไตรมาส 3-4
“ปัจจุบันแบรนด์ SKINSISTA ทั้ง 5 กลุ่ม ได้แก่ เซรั่มบำรุงผิวหน้า ครีมกันแดด ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า ครีมบำรุงผิวหน้า และผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น สเปรย์ฉีดลดสิวตามร่างกาย รวมกว่า 30 รายการ มีวางจำหน่ายทั้งในช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ร้านค้าทั่วไป และช่องทางออนไลน์ผ่าน Shopee, Lazada และ TikTok Shop โดยบริษัทคาดว่าภายในสิ้นปี 2568 จะสามารถครอบคลุมช่องทางจำหน่ายมากกว่า 2 หมื่นจุดทั่วประเทศ ทั้งในร้านสะดวกซื้อ รวมถึงบิวตี้ สโตร์ ซึ่งล่าสุดเข้าวางจำหน่ายผ่านทางบิวเทรียม และในอนาคตจะมีร้านอื่นๆ ตามมา
“ปัจจุบัน SKINSISTA ได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี และล่าสุดยังได้แตกไลน์สินค้าใหม่ในกลุ่ม “เมคอัพแคร์” เพื่อทดลองทำตลาดในกลุ่มเมคอัพ ซึ่งมียอดขายเป็นที่น่าพอใจ ทำให้บริษัทมีแผนขยายไลน์สินค้ากลุ่มเมคอัพเพิ่มขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนเปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ภายใน 1-2 ปีข้างหน้า โดยจะขยายไปในกลุ่มสินค้าสุขภาพด้วย ซึ่งเป็นการต่อยอดจากฐานลูกค้าเดิมและเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่”
สำหรับผลประกอบการของบริษัท ในปี 2564 มีรายได้สุทธิ 316.57 ล้านบาท กำไรสุทธิ 23.40 ล้านบาท ปี 2565 มีรายได้สุทธิ 282.7 ล้านบาท กำไรสุทธิ 11.86 ล้านบาท ปี 2566 มีรายได้สุทธิ 272.79 ล้านบาท กำไรสุทธิ 17.20 ล้านบาท ขณะที่ในงวด 6 เดือนแรกของปี 2567 มีรายได้สุทธิ 123.28 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3.85 ล้านบาท โดยในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้เติบโต 20-30% กำไรสุทธิ 200% จากปีก่อน
อย่างไรก็ดี รายงานจากยูโรมอนิเตอร์ ระบุว่า ในปี 2567 ตลาดสกินแคร์มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 1.5 แสนล้านบาท แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า 1.2 แสนล้านบาท และเครื่องสำอางหรือเมคอัพ 3 หมื่น ล้านบาท ขณะที่ในปีนี้คาดว่าตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าจะเติบโตเพิ่มขึ้น 10% ส่วนตลาดเครื่องสำอางจะเติบโต 15%
“ปัจจุบันตลาดสกินแคร์ในเมืองไทยพัฒนามาถึงจุดที่ผู้บริโภคเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้าไทย และไม่จำเป็นต้องซื้อผลิตภัณฑ์นำเข้าราคาแพงอีกต่อไป นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังใช้ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น และอายุเริ่มต้นของผู้ใช้สกินแคร์ก็น้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดและชดเชยผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวได้”
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,097 วันที่ 18 - 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2568