แม้ภาพรวมตลาดสินค้าและอุปกรณ์การเรียนในปี 2568 มีแนวโน้มการเติบโตทรงตัวและไม่เติบโตเท่าปีก่อน จากปัจจัยด้านภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและผันผวน ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อการเติบโตของตลาด แน่นอนว่าหากเศรษฐกิจดีขึ้นผู้ปกครองก็จะมีอำนาจในการจับจ่ายเลือกซื้อสินค้านักเรียนมากขึ้น จึงเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการในตลาดสินค้าและอุปกรณ์การเรียน เมื่อต้องชิงกำลังซื้อของผู้ปกครองที่มีเงินในกระเป๋าน้อยลง
นายอานนท์ จิตรมีศิลป์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้อมจิตต์ แมนนูแฟกเจอร์ริ่ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชุดนักเรียน “น้อมจิตต์” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แม้ภาพรวมตลาดสินค้าและอุปกรณ์การเรียนในปีนี้ มีแนวโน้มการเติบโตทรงตัว จากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน
เพราะเชื่อว่า หากเศรษฐกิจดีขึ้นผู้ปกครองจะมีความสามารถในการซื้อชุดนักเรียนเพิ่มขึ้น เช่น ซื้อมากกว่า 1 ชุด หรือ ซื้อถึง 3-4 ชุดต่อปี ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณการขายได้ อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนต้องเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างเต็มที่
โดยรัฐบาลไทยจำเป็นต้องมีการวางแผนเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และส่งเสริมการเจรจาต่อรองกับคู่ค้าต่างประเทศ ซึ่งมาตรการภาษีที่เข้มงวดจากสหรัฐฯ เช่น กำแพงภาษีทรัมป์ ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ธุรกิจต้องรับมืออย่างจริงจัง
อีกหนึ่งปัจจัยที่น่ากังวลคือจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลง ส่งผลให้ในอนาคต จำนวนเด็กที่เข้าเรียนในระดับอนุบาลจะลดลงตามไปด้วย คาดการณ์ว่าความต้องการชุดนักเรียนอีก 2-3 ปีข้างหน้าอาจไม่สัมพันธ์กับจำนวนเด็กที่เพิ่มขึ้น
ตลาดชุดนักเรียนจะขึ้นอยู่กับจำนวนเด็กนักเรียนและภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งตลาดชุดนักเรียนแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับล่าง ระดับกลาง และระดับพรีเมี่ยม โดยกลุ่มตลาดชุดนักเรียนระดับกลางและล่างจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากที่สุด เพราะความสามารถในการจับจ่ายของผู้บริโภคกลุ่มนี้มีข้อจำกัด และผู้ปกครองมีรายจ่ายหลายด้านในช่วงเปิดเทอม เช่น ค่าเทอม, หนังสือ, สมุด และชุดนักเรียน ที่มาพร้อมกันในช่วงเดียวกัน
ทำให้กลุ่มตลาดนี้ต้องพิจารณาและวางแผนการใช้จ่ายมากขึ้น บางครอบครัวอาจเลือกทยอยซื้อหรือใช้ชุดเก่าก่อนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในช่วงนี้ ส่วนระดับพรีเมี่ยมที่เน้นชุดนักเรียนคุณภาพสูงเริ่มเติบโต เนื่องจากผู้ปกครองมีกำลังซื้อมากขึ้น ให้ความสำคัญกับการเลือกชุดนักเรียนที่มีคุณภาพดี เพื่อให้ลูกได้รับสิ่งที่ดีที่สุด โดยบริษัทเริ่มหันมาผลิตชุดนักเรียนพรีเมี่ยมมากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการในตลาดนี้มากขึ้น
สอดรับข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการในปี 2567 ระบุว่า โรงเรียนนานาชาติมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเฉลี่ยปีละ 5% การเติบโตของโรงเรียนนานาชาติมีสาเหตุหลักมาจากผู้ปกครองต้องการให้บุตรหลานได้รับการศึกษาที่แตกต่างโดยเฉพาะโรงเรียนที่เปิดสอน 3 ภาษา
สำหรับการปรับตัวในธุรกิจชุดนักเรียน นายอานนท์ มองว่า การสร้างแบรนด์และการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ยังคงยึดหลักการผลิตสินค้าที่มีมาตรฐานสูง และมีคุณภาพ เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
โดยบริษัทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ ชุดนักเรียนรุ่นพรีเมียม รุ่น “แอร์คูล” (Air Cool) ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์สภาพอากาศร้อนของประเทศไทย ชุดนักเรียนรุ่นนี้มีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยให้ผู้ใส่รู้สึกเย็นสบาย ซึมซับเหงื่อได้ดี จึงได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดี
“บริษัทวางกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการดึงดูดลูกค้ากลุ่มระดับกลางถึงบน โดยมุ่งเน้นไปที่การเสนอคุณค่าที่ผู้ปกครองจะได้รับจากการซื้อชุดนักเรียนจากแบรนด์ แม้ว่าราคาต่อชุดจะสูงกว่าชุดนักเรียนทั่วไป
แต่ “น้อมจิตต์” เน้นให้ลูกค้ารับรู้ว่า ชุดนักเรียนที่ซื้อจากแบรนด์นี้สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 3 ปี ซึ่งในระยะยาวจะประหยัดกว่า เมื่อเทียบกับชุดที่ซื้อราคาถูกในระยะสั้น โดยกลยุทธ์นี้ช่วยให้ผู้ปกครองเห็นความคุ้มค่ามากกว่าการเลือกชุดราคาถูกเพียงอย่างเดียว”
นอกจากนี้ “น้อมจิตต์” ยังได้ขยายช่องทางการตลาดไปสู่การขายออนไลน์ ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น Facebook, Instagram, YouTube, TikTok, Lazada และ Shopee เพื่อสื่อสารให้ผู้ปกครองได้ทราบถึงคุณสมบัติของชุดนักเรียน และช่วยให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อไซส์ได้ตามต้องการจากบ้าน
ส่วนการตั้งราคาสินค้า “น้อมจิตต์” จะเน้นที่การตั้งราคาเข้าถึงง่ายโดยมีมาร์จิ้นน้อย ซึ่งจะพึ่งพาการขายปริมาณสูงแทนการลดราคาในแต่ละชุด เรามุ่งเน้นให้บริการที่ดีและการรักษาคุณภาพสินค้า นอกจากนี้ยังมีบริการปักชื่อให้ลูกค้าได้ตามต้องการ ทำให้พร้อมใช้ได้ทันเวลาเปิดเทอม ซึ่งบริการนี้ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่น้อมจิตต์นำมาใช้เพื่อให้ผู้ปกครองรู้สึกสะดวกและมั่นใจในสินค้าและบริการของแบรนด์
“ปีนี้ราคาชุดนักเรียนยังไม่มีการปรับเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ซึ่งถือเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันที่ไม่มีการปรับราคา แม้ว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะค่าแรงและราคาวัตถุดิบต่างๆ ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยในปีก่อนราคาผ้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 3-4% และปีนี้มีการปรับราคา 2-3% แต่บริษัทก็พยายามดูแลต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อให้สามารถรับมือกับการเพิ่มขึ้นของต้นทุนได้ โดยบางส่วนบริษัทต้องซัพพอร์ตค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ยากลำบาก”
สำหรับการแจกชุดนักเรียนของรัฐบาล มองว่ารัฐบาลควรสนับสนุนการแจกชุดนักเรียนต่อไป และถ้าหากสามารถเพิ่มงบประมาณได้ก็ควรเพิ่มเพื่อให้เด็กนักเรียนได้รับชุดที่มีคุณภาพ โดยงบประมาณนั้นจะถูกแจกตามระดับชั้นที่แตกต่างกัน เช่น ระดับประถมและมัธยมจะมีงบประมาณไม่เท่ากัน
ซึ่งหากรัฐบาลสามารถเพิ่มงบประมาณสำหรับเด็กนักเรียนต้องเปลี่ยนชั้นเรียน เช่น จาก ป.6 ขึ้น ม.1 หรือจาก ม.3 ขึ้น ม.4 ในช่วงนี้เด็กๆ จะต้องใช้ชุดใหม่หลายชุด แต่ปัจจุบันการแจกชุดนักเรียนตามงบประมาณของรัฐบาลนั้นยังไม่เพียงพอ และอาจจะไม่สามารถซื้อชุดที่มีคุณภาพได้ครบตามจำนวนที่ต้องการ
“อยากให้รัฐบาลเพิ่มงบประมาณสำหรับการแจกชุดนักเรียนโดยเฉพาะในช่วงที่เด็กๆ เปลี่ยนชั้นเรียน เพราะในช่วงนี้เด็กจะต้องซื้อชุดใหม่หลายชุด ซึ่งหากมีงบประมาณเพิ่มขึ้นก็จะดีมาก เพราะปัจจุบันในบางกรณีที่งบประมาณจำกัด อาจทำให้เด็กๆ ต้องใช้ชุดที่มีคุณภาพไม่เพียงพอ หรือบางครั้งผู้ปกครองก็ไม่ได้ใช้ชุดนั้นๆ เนื่องจากราคาที่สูง” นายอานนท์ กล่าวว่า
ปีนี้น้อมจิตต์ ตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตราว 7% ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตที่ดี สำหรับตลาดชุดนักเรียน และเราก็มีความมั่นใจว่าการสนับสนุนจากรัฐบาล รวมถึงการเพิ่มงบประมาณ จะทำให้ผู้ปกครองสามารถซื้อชุดที่มีคุณภาพให้กับเด็กๆ ได้มากขึ้นด้วย
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,091 วันที่ 27 - 30 เมษายน พ.ศ. 2568