เศรษฐกิจชะลอ รายได้ “เวิร์คพอยท์” ร่วง ปรับแผนเลิกผลิตละครลดต้นทุน

22 ก.พ. 2568 | 03:34 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ก.พ. 2568 | 03:41 น.

เวิร์คพอยท์ เผยผลประกอบการปี 67 ทำรายได้ 2,339 ล้าน ขาดทุนสุทธิ 201 ล้านบาท ชี้เศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลรายได้โฆษณาลดลงทั้งจากรายการโทรทัศน์-ออนไลน์ เผยปี 68 เลิกผลิตละคร ลดต้นทุน

นายสุรการ ศิริโมทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ("บริษัท")  หรือ WORK รายงานผลประกอบการของบริษัท สิ้นสุด ณ 31 ธันวาคม 2567  ระบุว่า บริษัทมีรายได้รวมตามงบการเงินรวมในปี 2567 (ไม่รวมรายได้อื่น) เท่ากับ 2,339.78 ล้านบาท ลดลง 79.34 ล้านบาท หรือลดลง 3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีรายได้รวม (ไม่รวมรายได้อื่น) 2,419.12 ล้านบาท

มีผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่เท่ากับ 201.02 ล้านบาท ลดลง 214.50 ล้านบาท หรือลดลง 1,591% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีผลกำไรสุทธิเท่ากับ 13.48 ล้านบาท

โดยรายได้ มาจาก รายได้จากธุรกิจรายการโทรทัศน์ ประกอบด้วย รายได้จากการขายโฆษณาและโปรโมทในช่วงเวลาต่าง ๆของช่อง WORKPOINT และช่องทางสื่อออนไลน์ต่างๆ ของบริษัท รวมถึงรายได้จากการให้เช่าช่วงเวลาให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อออกอากาศรายการโทรทัศน์ในช่อง WORKPOINT

เศรษฐกิจชะลอ รายได้ “เวิร์คพอยท์” ร่วง ปรับแผนเลิกผลิตละครลดต้นทุน

รายได้จากการรับจ้างผลิตรายการและ รายได้จากการจำหน่ายลิขสิทธิ์รายการไปยังต่างประเทศโดยใน ปี 2567 บริษัทมีรายได้จากรายการโทรทัศน์รวมเท่ากับ 1,643.78 ล้านบาท ลดลง 252.45 ล้านบาทหรือลดลง 13% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จึงมีรายใต้จากรายการโทรทัศน์รวมเท่ากับ 1,896.24 ล้านบาท

ทั้งนี้การลดลงของรายได้จากธุรกิจรายการโทรทัศน์เป็นไปตามการลดลงของรายได้โฆษณาผ่านช่องทางโทรทัศน์และออนไลน์ เนื่องจากสภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ดีเพื่อลดผลกระทบดังกล่าว บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์ในการขายโดยการเพิ่มสัดส่วนงานประเภทรายการรับจ้างผลิต รวมถึง การผลิตรายการตามความต้องการเฉพาะของลูกค้า (Tailor made) ส่งผลให้ในปี 2567 บริษัทมีรายได้รับจ้างผลิตเพิ่มขึ้น

รายได้จากการรับจ้างจัดงาน ประกอบด้วย รายได้จากการจัดงาน Event ต่าง ๆ ทั้งที่ผลิตให้แก่บุคคลภายนอกและจัดขึ้นเองโดยบริษัท โดยในปี 2567 นั้น บริษัทมีรายได้จากการรับจ้างจัดงานทั้งสิ้น 282.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124.09 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 78% จากช่วงเวลาเดียวกับของปี 25666 ซึ่งมีรายได้เท่ากับ158.51 ล้านบาท

ทั้งนี้รายได้จากการจัดงาน Event ที่เพิ่มขึ้นเป็นไปตามทิศทางความต้องการของลูกค้าในการจัดงานเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายนอกจากนี้ยังเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทในการขายงานประเภท Event ควบคู่สื่อรายการโทรทัศน์ เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ลูกค้า โดยในปี 2567 บริษัทมีงานที่สำคัญได้แก่ จีเจ มอร์ ไมค์ทองคำ ออนทัวร์ SS3 , Tiktok Awards Thailand 2024 และ งานกาชาด 2567 เป็นต้น

รายได้จากการจัดคอนเสิร์ตและละครเวที ประกอบด้วย รายได้จากการจัดคอนเสิร์ตและละครเวทีที่บริษัทจัดขึ้นเอง และรายได้จากผู้ให้การสนับสนุนสปอนเซอร์โรงละคร ทั้งนี้บริษัทมีรายได้จากคอนเสิร์ตและละครเวทีในปี 2567 เท่ากับ 323.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.53 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเวลาดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีรายได้เท่ากับ 291.44 ล้านบาท

ทั้งนี้ในปี 2567 บริษัทมีการจัดคอนเสิร์ตและละครเวทีเพิ่มมากขึ้นกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 โดยงานสำคัญที่บริษัทได้จัดขึ้นในปี 2567 ได้เเก่ Mark Tuan : The Other Side Asia Tour 2024, นิทานหิ่งห้อย เคอะมิวสิคัล และ คอนเสิร์ตคุณพระช่วยสำแดงสด THAIHUB เป็นต้น

รายได้จากการขายสินค้าและบริการอื่น ประกอบด้วยรายได้จากการบริหารพื้นที่โรงละครของบริษัท และรายได้จากการจัดหานักแสดงเป็นหลัก โดยในปี 2567 บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการอื่นเท่ากับ 89.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.49 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีรายได้เท่ากับ 72.94 ล้านบาท โดยการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นรายได้จากการจัดหานักแสดงของศิลปินในสังกัด

เศรษฐกิจชะลอ รายได้ “เวิร์คพอยท์” ร่วง ปรับแผนเลิกผลิตละครลดต้นทุน

ในปี 2567 บริษัทมีต้นทุนผลิตทั้งสิ้น 1,952.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 170.43 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ที่มีต้นทุนผลิตเท่ากับ 1,781.61 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนจากธุรกิจรับจ้างจัดงาน และต้นทุนจากธุรกิจการจัดคอนเสิร์ตและละครเวที เนื่องจากในปี 2567 บริษัทมีการจัดคอนเสิร์ตละครเวทีเเละงาน Event เพิ่มขึ้น

กำไรขั้นต้น ในปี 2567 บริษัทมีกำไรขั้นต้นเท่ากับ 387.75 ล้านบาท ลดลง 249.77 ล้านบาท หรือลดลง  39%

จากปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้น 637.52 ล้านบาท โดยการลดลงดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากการลดลงของกำไรขั้นต้นของธุรกิจรายการโทรทัศน์ และการลดลงของกำไรขั้นต้นของธุรกิจคอนเสิร์ตและละครเวทีเนื่องจากการจัดคอนเสิร์ตในปี 2567 มีการแข่งขันค่อนข้างสูง

ส่งผลให้งานคอนเสิร์ตศิลปินต่างประเทศและงานเทศกาลดนตรีในประเทศ ที่บริษัทจัดไม่เป็นไปตามที่บริษัทได้คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ในปี 2568 บริษัทมีการปรับกลยุทธ์สำหรับธุรกิจคอนเสิร์ตโดยจะลดการจัดคอนเสิร์ตศิลปินต่างประเทศลงเพื่อลดผลกระทบจากการแข่งขัน และสำหรับงานเทศกาลดนตรีในประเทศนั้น บริษัทมีแผนที่จะจัดทำร่วมกับพันธมิตรค่ายเพลงอื่นๆผ่านการลงทุนร่วมกัน

ในปี 2567 บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เท่ากับ 703.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.16 ล้านบาท หรือ

เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จึงมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเท่ากับ 654.28 ล้านบาท

ทั้งนี้ในปี 2567 บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายเท่ากับ 132.25 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 ซึ่งเท่ากับ 155.63 ล้านบาท เนื่องจากการลดลงของ ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขายและประชาสัมพันธ์ และ ค่าตอบแทนจากการขาย ซึ่งแปรผันตามรายได้ธุรกิจรายการโทรทัศน์ที่ลดลง

ขณะที่ปี 2567 บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการบริหารเท่ากับ 571.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72.54 ล้านบาท จาก

ช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน ซึ่งเท่ากับ 489.65 ล้านบาท โดยการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายดังกล่าว มีสาหตุหลักมาจาก การตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ไม่มีตัวตน โดยเฉพาะสินทรัพย์ประเภทลิขสิทธิ์ละคร

อย่างไรก็ดีตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้น บริษัทมีแผนเลิกผลิตละครซึ่งจะส่งผลให้ค่าตัดจำหน่ายลิขสิทธิ์ละครซึ่งบันทึกในต้นทุนและการตั้งด้อยค่าลิขสิทธิ์ละครลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้หากไม่รวมการตั้งด้อยค่าดังกล่าว ในปี 2567 บริษัทมีค่าใช้จ่ายบริหารเท่ากับ 457.39 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน เท่ากับ 477.23 ล้านบาท โดยการลดลงดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายสำนักงานและค่าสาธารณูปโกคที่ลดลงตามนโยบายการประหยัดค่าใช้จ่ายของบริษัท

นอกจากนี้ในปี 2567 บริษัทมีกำไร 17.80 ล้านบาท จากการที่บริษัทได้มาซึ่งอำนาจควบคุมในบริษัท ทีป๊อป อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด และ การซื้อสินทรัพย์จากการร่วมค้า จำนวน 8.83 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากบริษัทย่อยแห่งหนึ่งของบริษัทได้ซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เอฟดับเบิ้ลยูอาร์ จำกัด 70%