“โฟร์โมสต์” ปักไมล์สโตน 3 ปีชิงแชร์ 50%ตลาดนม UHT เด็ก

03 ก.ย. 2566 | 12:26 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ก.ย. 2566 | 13:13 น.

“โฟร์โมสต์” ปักหมุดหมายใหม่ตั้งเป้ากินส่วนแบ่งการตลาดครึ่งหนึ่งของตลาดนมพร้อมดื่ม UHT เด็กภายใน 3 ปี จ่อพัฒนาผลิตภัณฑ์นม UHT เด็กโตหลังพฤติกรรมผู้บริโภคส่งสัญญาณบริโภคน้อยลงหวังกระตุ้นตลาดให้กลับมาคึกอีกครั้ง

เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่าจับตามองสำหรับ ข่าวการขาดแคลนน้ำนมดิบซึ่งอาจมีผลต่อการปรับขึ้นราคานมพร้อมในตลาด และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังการเข้าถึงน้ำนมของกลุ่มเปราะบางจากเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวทำให้กำลังซื้อผู้บริโภคลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 


ซึ่งนางสาวสุภสิตา ไกรศรี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากนม ภายใต้ตราสินค้าโฟร์โมสต์ ฟอลคอน เรือใบ มายบอย และ เดบิค ในประเทศไทย ยอมรับว่า เริ่มเห็นสัญญาณนี้ตั้งแต่ปี2565 ปัญหานี้เป็นปัญหาต่อเนื่องมาจากช่วงโควิดเพราะเป็นช่วงที่เกษตรกรเลิกหรือลดการเลี้ยงปริมาณโคนมลง ทำให้ปริมาณน้ำนมลดลงตามไปด้วย ในส่วนของ “ฟรีสแลนด์คัมพิน่า”เองมีการเตรียมแผนตั้งรับตั้งแต่เริ่มสัญญาณการขาดแคลนดังกล่าว ทำให้ไม่เห็นการขาดเชลฟ์ของ “โฟร์โมสต์” เลยจนถึงปัจจุบัน “เรารู้ว่ามันจะเกิดขึ้น แต่เรามีการบริหารจัดการให้ Impact เกิดน้อยที่สุด ซึ่งคาดว่าในช่วง 2-3 เดือนนี้ที่จะเกิด Impact ตรงนี้และในช่วงไตรมาสที่ 4 ทุกอย่างน่าจะกลับมาสู่ภาวะปกติ”

ทั้งนี้ปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมนมUHT อยู่ที่ประมาณ 2.9 หมื่นล้านบาท โดย “โฟร์โมสต์” มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของเซกเมนต์นม UHTสำหรับเด็กภายใต้ซับแบรนด์ “โอเมก้า” กว่า 41% 

 

“เราเริ่มเห็นการเติบโตของตลาดนมUHT สำหรับเด็กเฉลี่ย 5-7%หลังจากช่วงโควิดเป็นต้นมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคุณแม่เริ่มให้เด็กดื่มนมUHT มากขึ้นและเร็วขึ้นเฉลี่ยเริ่มต้นตั้งแต่อายุ 1 ขวบ โดยเด็ก 1 คนจะดื่มนมUHT  3 กล่องต่อวัน   ปีนี้เราตั้งความหวังการเติบโตของมาร์เก็ตแชร์ที่สูงกว่า 41%  แต่ไมล์สโตนของเรา เราอยากจะได้ครึ่งหนึ่งของตลาดหรือ 50%  ภายใน 3 ปี เพราะ UHT สำหรับเด็กเป็นยอดขายหลักของบริษัท”

ผู้บริหารกล่าวต่อไปว่า บริษัทมีโรดแมปไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือ Position ของแบรนด์ รวมไปถึงการกระจายสินค้า โดยมุ่งเสริมเติมแต่งสิ่งที่ขาด หลักการหลักๆที่ทำและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง คือ Better Product  ที่สามารถเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคซึ่ง 10 ปีให้หลังก็มี Learning ใหม่ๆ องค์ความรู้ใหม่ๆ มาประกอบกับการคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้ผลิตภัณฑ์นั้นไม่ใช่แค่ดีขึ้น แต่สอดคล้องกับความต้องการของเด็กใน community ที่บริษัทอยู่

 

2 ขับเคลื่อนในเรื่องของการเข้าถึง ภายในองค์กรใช้ GNS หรือ Global nutrition Standard เป็นหลักในการพัฒนาทุกๆผลิตภัณฑ์ Point ที่ 2  คือเรื่องของ SEANUTS เพื่อดูว่ายังขาดอะไรและสามารถเติมอะไรได้บ้าง ผลิตภัณฑ์ของโฟร์ดมสต์ไม่ได้ราคาแพง ดังนั้นในนม 1 กล่องสามารถเสริมสารอาหารเพื่อให้กลุ่มที่สถานะดีหน่อยสามารถซื้อหามาดื่มได้  สิ่งที่โฟร์โมสต์ทำคือพยายามกระจายสินค้าให้มากที่สุดและลึกที่สุด

 

จะเห็นว่าโฟร์โมสต์ไม่ได้วางขายเฉพาะในร้านค้าใหญ่ๆเท่านั้น แต่ลงลึกถึงร้านโชห่วยในอำเภอเล็กๆ และต่อไปจะโฟกัสจุดที่ไม่ได้ผ่าน Seller โดยวิ่งตรงเข้าตำบลเล็กๆที่เข้าถึงยากจริงๆ จุดประสงค์คือโฟกัสในการ ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้มากขึ้นในช่วง 2-3 ปีนี้ และสำหรับกลุ่มที่เปราะบางโฟร์โมสต์พยายามที่จะ Partner กับองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคู่ค้าของหรือผู้บริโภคโดยจัดแคมเปญผู้บริโภคคือซื้อนม 1 ลังโฟร์โมสต์บริจาค 1 ลังทันทีผ่านมูลนิธิกระจกเงา

 

“จะเห็นการปรับราคาขึ้นของเราในตลาดน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย แม้จะมีสภาวะเงินเฟ้อหรืออะไรก็ตาม เราพยายามทำตัวเองให่เป็นนมกล่องที่เข้าไปถึงคุณแม่ที่ยังจ่ายได้  เราจะไม่ใช้ตัวนี้เป็นตัวไดร์ฟในเรื่องของ Value Sale  แต่เราจะทำให้ตัวนี้เป็นตัวไดร์ฟที่ทำให้ทุกคนเข้าถึงนมที่มีสารอาหารได้ ซึ่งเราไม่ได้ปรับราคามา 2-3 ปีแล้ว ซึ่งตั้งแต่ช่วงโควิดมาเราก็ไม่ได้ปรับราคาขึ้นเลย

 

ปัจจุบันสัดส่วนของเราเป็นนมเด็ก 60% เซกเมนต์ที่แข็งแกร่งที่สุดคือเด็กกลุ่มเล็กอายุยังไม่ถึง 3 ขวบที่แม้อัตราการเกิดลดลงแต่สวนทางกับความต้องการของผู้บริโภคเพราะแม่ให้ลูกทานนมมากขึ้นดังนั้นในกลุ่มนี้เราคงทำการตลาดต่อเนื่องต่อไป แต่กลุ่มเด็กอายุ 4-12 ขวบเราเห็นการบริโภคที่ลดลง ซึ่งเราอาจจะต้องทำให้ผลิตภัณฑ์ของเราสามารถตอบโจทย์กลุ่มเด็กโตให้ได้ในแผนอนาคต”