"เนสท์มี" ปั้น "สกินแคร์รังนก" ชิงกำลังซื้อคนทำงานรุ่นใหม่

13 ก.ค. 2566 | 22:55 น.

ทุนไทยปั้น "เนสท์มี" แบรนด์น้องใหม่ ขายความต่างชูนวัตกรรมจากรังนกเปิดหน้าบุกตลาดสกินแคร์ไทยก่อนต่อยอดเวทีโลก ตั้งเป้ากวาดยอดขายปีแรก 700 ล้านบาท

แม้โควิดจะซาลงไปเกือบ100% แต่ตลาดสกินแคร์ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องหลังช่วงโควิดไต่อันดับเบียดเซกเมนต์เมกอัพขึ้นครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดมาได้ สังเกตุได้จากผู้เล่นหน้าใหม่ยังคงตบเท้าเข้าสู่ตลาดอย่างคึกคัก 

"เนสท์มี" ปั้น "สกินแคร์รังนก" ชิงกำลังซื้อ"เฟิร์สจ๊อบเปอร์" เช่นเดียวกับ ‘เนสท์มี’ สกินแคร์สัญชาติไทย ที่มีไม้เด็ดเป็น นวัตกรรมสกินแคร์จากรังนก โดยใช้พื้นฐานจากธุรกิจขายรังนกของครอบครัวมาแตกไลน์ธุรกิจใหม่ แม้จะเพิ่งเปิดตัวออกสู่ตลาดโดยมีกลุ่มวัยเริ่มต้นทำงาน 25-35 ปี เป็นเป้าหมาย ‘เนสท์มี’ ยังปักธงบุกต่างประเทศโดยใช้อาเซียนเป็นด่านหน้าตีตลาดโลกในอนาคตอันใกล้

นาง อนิตา มาเรีย จันทรัศมี กรรมการผู้จัดการ บริษัท พิธานไลฟ์ จำกัด ฉายภาพภาพรวมตลาด สกินแคร์ในไทยว่า ยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยที่ผู้บริโภคยุคใหม่ใส่ใจดูแลสุขภาพผิวมากขึ้นโดยเฉพาะการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ส่งผลให้ตลาดรวมเติบโตไปพร้อมกับการแข่งขันจากหลายแบรนด์ที่มุ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคในแต่ละช่วงของอายุ

"เนสท์มี" ปั้น "สกินแคร์รังนก" ชิงกำลังซื้อ"เฟิร์สจ๊อบเปอร์"
ที่ผ่านมาบริษัทมีความสนใจในตลาดสกินแคร์และลงมือศึกษาความต้องการของผู้บริโภค และนำความเชี่ยวชาญในธุรกิจรังนกของครอบครัวที่มีมากว่า 30 ปีมาเป็นแรงบันดาลใจสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มาจากสารสกัดจากรังนกธรรมชาติ 100%  ด้วยกรรมวิธีการผลิต Hydrolysis Technology ซึ่งเป็นเทคโนโลยีทันสมัยจนได้มาเป็นเนสท์มี (NestMe) ที่ตอบโจทย์ด้านผิวพรรณและความงามให้ผู้บริโภคยุคใหม่

“การนำรังนกจากธรรมชาติแท้มาเป็นส่วนผสม เสริมจุดเด่นให้กับเนสท์มีในด้านประสิทธิภาพการดูแลผิว โดยสารสกัดจากรังนกได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีคุณสมบัติต่อต้านริ้วรอย และเสริมการเจริญเติบโตของผิวหนังชั้นนอก รวมทั้งผ่านการทดสอบการระคายเคืองโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจากสถาบันวิจัย Dermscan  Asia แล็บชั้นนำของโลกว่าปราศจากสารเติมแต่ง หรือสารเคมีที่เป็นอันตราย อาทิเช่น แอลกอฮอล์ พาราเบน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเนื้อครีมที่บางเบา ซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว พร้อมปรับให้ผิวแลดูกระจ่างใสด้วยอนุพันธ์วิตามินซีจากประเทศญี่ปุ่นและสารสกัดจากต้นบีทที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวตลอดวัน”

 

สำหรับแผนงานในปี 2566 บริษัทฯ เตรียมพัฒนาธุรกิจอย่างรอบด้าน ภายใต้งบประมาณลงทุน 150 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งในประเทศ และตลาดต่างประเทศ รวมถึงสร้างแบรนด์เพื่อสื่อสารถึงตลาดเป้าหมายที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยเริ่มต้นทำงาน อายุตั้งแต่ 25-35 ปี 

"เนสท์มี" ปั้น "สกินแคร์รังนก" ชิงกำลังซื้อ"เฟิร์สจ๊อบเปอร์" ปัจจุบัน เนสท์มี มีสินค้าหลากหลายและตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายวันทำงานกว่า 9 SKU รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่จัดจำหน่ายในรูปแบบแพคเกจเดี่ยว และจำหน่ายในรูปแบบชุดผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเพิ่มจำนวน SKU อย่างต่อเนื่องในอนาคตเพื่อให้สินค้าครอบคลุมทุกประเภทการใช้งาน และตอบสนองความต้องการกลุ่มเป้าหมายอย่างทันท่วงที ในช่องทางร้านวัตสัน กว่า 550 สาขาสาขาทั่วประเทศ และช่องทางออนไลน์เพื่อตอบโจทย์การซื้อสินค้าในยุคใหม่ รวมทั้งเตรียมพร้อมสำหรับการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ จีน ฮ่องกง อีกด้วย

 

สำหรับกลยุทธ์ทางการตลาดในปีนี้ เนสท์มี ขับเคลื่อนผ่านแคมเปญ “เนสท์มี...ทางสว่างของทุกผิว”
ผ่านการตลาดและสร้างแบรนด์ผ่านสื่อโฆษณาออนไลน์ทุกช่องทาง อาทิ Facebook Youtube และ Tiktok เป็นต้น และ ในขณะเดียวกันก็มีสื่อโฆษณาและกิจกรรมการตลาดในช่องทางออฟไลน์อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เช่น การจัดงานอีเวนท์ สื่อโฆษณาทีวี และสื่อประชาสัมพันธ์ ณ จุดขาย รวมถึงการทำรีวิว โปสเตอร์ แผ่นพับ ใบปลิว  เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ และนึกถึงเมื่อต้องการซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิว โดยมี 2 นักแสดง จากบรรยากาศรัก เดอะซีรีส์ Love in The Air  “โนอึล ณัฐรัชต์ ตังวาย”  และ “บอส ชัยกมล เสริมส่งวิทยะ” เป็นตัวแทนในการสื่อสาร   แบรนด์ไปยังคนรุ่นใหม่

 

“เนสท์มี ต้องการเป็นผู้นำในธุรกิจสกินแคร์ที่มีรังนกเป็นส่วนผสม ผู้บริโภคได้รับสินค้าและบริการที่มีคุณภาพระดับโลก ปลอดภัย ในราคาที่จับต้องได้ เพื่อเป็นทางเลือกกับผู้หญิงยุคใหม่ มั่นใจว่า การมุ่งมั่นพัฒนาและคิดค้นผลิตภัณฑ์ การเข้าใจตลาด และพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การดูแลผิวเพื่อสร้างความโดดเด่น และความแตกต่างให้กับแบรนด์ เนสท์มี ได้อย่างแน่นอน โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 700 ล้านบาท”