คำเตือนจากผู้บริหารระดับสูง ปี 68 ธุรกิจต้องปรับตัวรับ Twin Transition

27 ธ.ค. 2567 | 04:39 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ธ.ค. 2567 | 06:02 น.

ผู้บริหารระดับสูง คาดเศรษฐกิจไทยปี 68 เติบโต 2.4-3% แม้เผชิญความท้าทายทั้งนโยบายทรัมป์ สงครามการค้า และหนี้ครัวเรือน พร้อมเตือนธุรกิจต้องปรับตัวรับ Twin Transition ทั้งด้าน AI และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เศรษฐกิจไทย ปี 2568 ในมุมมองผู้บริหารหลากหลายภาคส่วนยังคงเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และภูมิรัฐศาสตร์ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเร่งพัฒนาศักยภาพและความยั่งยืนเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน

ขณะที่ภาครัฐควรเร่งแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างและสนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น

เศรษฐกิจปีหน้าไม่หมู ต้องปรับโครงสร้าง

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยมุมมองต่อเศรษฐกิจไทย ปี 2568 ว่ายังเต็มไปด้วยความท้าทายไม่น้อยไปกว่าปีนี้ โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตเพียง 2.4% ลดลงจากปี 2567 ที่คาดว่าจะขยายตัว 2.6% สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ส่งผลให้การเติบโตต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น

นอกจากนี้ยังต้องจับตานโยบายของนายโดนัลด์ทรัมป์ เนื่องจากไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ หากมีการขึ้นภาษีนำเข้าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออก แม้อาจชดเชยได้บางส่วนด้วยการปรับขึ้นราคาขาย

แต่ก็ยังคงมีความไม่แน่นอนและสร้างความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้า อีกประเด็นที่น่าห่วงคือสินค้าจากจีนที่ถูกสหรัฐกีดกันอาจทะลักเข้าสู่ตลาดไทยมากขึ้น ซึ่งมีราคาถูกกว่าและจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SME ของไทย

“ต้องปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทย หากเรายังเป็นเศรษฐกิจยุคเก่า เราก็คงสู้เขาไม่ได้ แต่ระยะสั้นคงยังแก้ไม่ได้หรอก ฉะนั้นเราต้องช่วยเขาหาตลาดใหม่ เพราะถ้าขายตลาดเดิมก็ยังเจอคู่แข่งเยอะ ไปที่ประเทศอื่นๆที่เขายังไม่เคยไป และผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังใช้ได้อยู่” นางสาวขัตติยา กล่าว

สำหรับแผนงานธนาคารในปี2568 จะมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพผ่านการนำเทคโนโลยีและAIมาใช้ในกระบวนการทำงาน โดยตั้งงบประมาณ 10% ของกำไรสุทธิสำหรับการลงทุนด้านนี้ ควบคู่ไปกับการใช้ความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเพื่อควบคุมคุณภาพหนี้ไม่ให้เกิน3%

ความไม่แน่นอนการเมืองเขย่าลงทุน

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย คาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2568 ไว้ที่2.8-3.8% หรือค่ากลาง 3% โดยมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งจากภาครัฐและเอกชน อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูงและนิคมอุตสาหกรรม EEC ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ

ปัจจัยบวกอื่นๆได้แก่การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งไทยได้เร่งผลักดันการลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น e-commerce fintech digital payments และData center รวมถึงการส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูป สินค้าออร์แกนิก และ Future Food ที่มีความต้องการสูงในตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมสีเขียวตามแนวโน้มความต้องการพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ ทั้งความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจทำให้การตัดสินใจลงทุนชะลอตัว การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและจีน ปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อภาคการเกษตร รวมถึงต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น

เตือนรับมือ Twin Transition

นายปณิธาน ปวโรฬารวิทยา ประธานกรรมการ บริษัท บูติคนิวซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BTNC เน้นย้ำถึงความท้าทายจาก Twin Transition หรือการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของโลกที่เกิดจาก AI และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบาย America First ของทรัมป์ที่จะทำให้ประเทศต่างๆต้องปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐ

การเข้ามาของ AI จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานและธุรกิจทั่วโลก นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแล้ว ยังก่อให้เกิดอาชีพใหม่ๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและบริหารจัดการAI แต่ในขณะเดียวกันก็อาจส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงาน เนื่องจาก AI สามารถเข้ามาทดแทนงานบางประเภทได้

อีกประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาคือการพัฒนาพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่คาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคตอันใกล้

ในส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์ นายอุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ระบุ แนวโน้มอสังหาฯ ปี2568 ยังคงมีแนวโน้มเติบโตตามการขยายตัวของ GDP ซึ่งคาดการณ์ว่าอาจเติบโตได้ถึง 3% หรือมากกว่านั้น โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยจำเป็นต้องรักษาความสามารถในภาคอุตสาหกรรมเหล่านี้เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ

ปัจจัยสำคัญที่ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์คือปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการซื้อบ้านในช่วงราคาประมาณ 3-4 ล้านบาท หลายคนไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ และยังทำให้การโอนกรรมสิทธิ์ล่าช้า หากปัญหาหนี้ครัวเรือนได้รับการแก้ไข จะช่วยเพิ่มความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภค และส่งผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวม แต่ทั้งนี้ ผู้ประกอบการต้องปรับตัว เตรียมความพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง

รักษาฐานลูกค้าเดิมประคองธุรกิจ

นายสุนทร สถาพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด (SE) ในฐานะนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ระบุว่า จากปัจจัยเสี่ยงปี 2567 และเชื่อมโยงมาถึง 2568 มองว่า ผู้ประกอบการควรคงกลยุทธ์รักษากระแสเงินสดรักษาฐานลูกค้าเดิม เนื่องจากกำลังซื้อยังมีความเปราะบาง แต่มีโอกาสจะฟื้นตัวได้ จากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ ส่งออก ท่องเที่ยว จีดีพีจาก 2% กว่าๆ เป็น 3% รวมถึงมาตรการ กระตุ้นอสังหาริมทรัพย์และฟื้นเศรษฐกิจ บางประการของรัฐ

ในทางกลับกัน ปี2568 ผู้ประกอบการเองจำเป็นต้องปรับตัวยกระดับความสามารถในการแข่งขัน ให้ครบวงจร Sustainable Development ทั้งbusiness conduct ที่ถูกต้อง และได้productที่คุณภาพดี ที่เรียกว่า lean internal process ให้ต้นทุนแข่งขันกับทุนใหญ่และdeveloperต่างชาติได้ เช่นสร้างนวัตกรรมด้าน green innovation และ smart home ด้วยเทคโนโลยีของเราเอง