งานสัมมนา ISAN NEXT : พลิกเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤตโลก ซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา โดยนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายกสภาฯ มรภ.นครราชสีมา กล่าวว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศในวันนี้ ปัจจัยที่มีผลกระทบกับเศรษฐกิจ คือ ปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในของเราเอง ปัจจัยภายนอกเชื่อว่า ทุกประเทศทั่วโลกอยู่ภายใต้ปัจจัยนี้ที่สำคัญที่จะทำให้เราประสบกับสภาพเศรษฐกิจทุกวันนี้มี ปัจจัย 5 ด้วยกัน
เรื่องแรก คือ ขณะนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งเกิดสงครามการค้าและเกิดสงครามขึ้นจริง เกิดการจับขั้วกันใหม่ของมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ทำให้เขตภูมิรัฐศาสตร์ของโลกเปลี่ยนแปลงไปกระทบต่อการค้า การลงทุนและการย้ายฐานการผลิตต่าง ๆ เป็นต้น ทำให้สภาพเศรษฐกิจของโลกมีความผันแปรสูง
2. ผลกระทบจากโควิด ที่ทำให้ทุกประเทศทั่วโลกต้องใช้จ่ายเงินกันจำนวนมากเพื่อจัดการกับปัญหา ทำให้มีการกู้หนี้ยืมสินส่งผลกระทบทำให้เกิดเงินเฟ้อทั่วโลก นำไปสู่มาตรการของธนาคารต่าง ๆ ทั่วโลกเกิดที่ใช้มาตรการในการขึ้นดอกเบี้ย การกดเงินเฟ้อให้ต่ำ ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าและเกิดผลกระทบกับภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ
3.ผลสืบเนื่องจากสถานการณ์สงคราม ไม่ว่าจะที่เกิดขึ้นในยูเครนที่ยังไม่จบสิ้นและตะวันออกกลางส่งผลให้ราคาพลังงานสูงขึ้น การขาดแคลนสินค้าการเกษตร กระบวนการการผลิตของเอสเอ็มอีทำให้สินค้ามีราคาสูงและเกิดการขาดแคลนทั่วโกล
4.การเข้ามาของเทคโนโลยีและไลฟสไตล์ของสังคมโลกที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้เกิดการผันผวนในภาคอุตฯและต่อการทำธุรกิจในปัจจุบันอย่างรุนแรงซึ่งมีผลกระทบการผลิต ต่อการจ้างงานและการลงทุน
5.ภาวะโลกร้อน ทำให้เกิดวิกฤติการณ์เกิดอุบัติภัยทางธรรมชาติทำให้ทั่วโลกต้องจัดการกับปัญหารวมทั้งต้องใช้งบประมาณร่วมกันในการจัดการเรื่องนี้ ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายและต้นทุนสินค้าแพงขึ้นด้วยมาตรฐานทางภาษี
สำหรับประเทศไทยยังมีปัจจัยภายในของเราเองที่ทำให้ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจควบคู่กับปัจจัยภายนอก คือ ขณะนี้หนี้สาธารณะของไทยประมาณ 65% ของจีดีพี ในอดีตเราควบคุมไม่ให้เกิน 60% แต่หลังจากสถานการณ์โควิดรัฐบาลต้องใช้จ่ายเยอะขณะนี้ตัวเลขหนี้เกิดจากมาตรฐานที่ควรจะเป็น
นอกจากนั้นยังมีหนี้ครัวเรือน หรือ หนี้ภาคประชาชน ขณะนี้เป็นหนี้ 90% ของจีดีพี ตอนนี้เป็นหนี้ถึงเกือบ 16 ล้านล้านบาท กลายเป็นภาระหนี้ที่หนักอึ้งของประเทศ ส่งผลกระทบต่อเครดิตเรตติ้งประเทศ กระทบกับงบประมาณการคลังที่จะใช้ ส่งผลกระทบต่อสถานะการเงินการคลังโดยตรง
3.การเติบโตทางจีดีพีประเทศต่ำมาตลอดเกือบ 20 ปีอยู่ในเกณฑ์รองบ๊วยในอาเซียน
4.ขีดความสามารรถทางการแข่งขันของประเทศเป็นผลจากเทคโนโลยีดิสรัป
5.ขณะนี้ภาคการผลิตและภาคอุตฯ ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างฉับพลันขณะที่ประเทศไทยปรับตัวช้า ภาพรวมอุตฯของไทยเสียเปรียบสำหรับอุตฯที่ทันสมัยในปัจจุบัน เช่น อุตฯยานยนต์ที่ประเทศไทยเป็นอันดับหนึ่งแต่เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาแทนที่อุตฯรถยนต์น้ำมัน หากปรับตัวไม่ทัน หรือ เอสเอ็มอีที่เกี่ยวข้องก็จะกระทบ
6.ปัญหาภายในของเรา คือ โครงสร้างผู้สูงวัยที่ขณะนี้ตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 20% อีก 5 ปีจะขยับเป็น 28% สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ กำลังการผลิตจะหายไป เงินที่จะต้องใช้เป็นสวัสดิการในการดูแลผู้สูงวัยจะมากขึ้นย่อมส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ
นับจากนี้ไปเราต้องไม่รบกวนจุดอ่อนต้องรบกวนจุดแข็งซึ่งประเทศไทยมีจุดแข็ง 5 ประการ คือ 1.การเป็นประเทศเกษตร วันนี้ประชากรโลกมีการขยายตัว 7-8,000 ล้านคน จึงเป็นโอกาสของสินค้าเกษตรและสินค้าอาหารที่สูงมาก 2.อาหาร ไทยเป็นประเทศผู้ผลิตอาหารป้อนโลก 3.ภาคบริการ ที่ไม่มีใครจะมีจิตวิญญาณในการให้บริการเท่ากับคนไทย 4.ประเทศไทยเป็นประเทศท่องเที่ยวของโลก สุดท้าย คือ อุดมความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรม
"หากนำจุดแข็งมาตั้งแท่นกันใหม่ ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่จะเป็นทางออกในการฝ่าวิกฤติให้กับประเทศไทยได้ ซึ่งจุดแข็งเหล่านี้อยู่ในทุกภาคส่วนรวมถึงอยู่ที่อีสาน เช่น เรื่องของประชากรเป็นหนึ่งในสามของประเทศ อีกประการ คือ จีดีพีของภาคอีสานอยู่ที่ 2 ล้านล้านบาท ประมาณ10% ของจีดีพีของประเทศอยู่ที่อีสาน
นอกจากนี้ยังมีจุดแข็งในเรื่องของอาหารที่ร้านอาหารมิชชิลีนไกด์ ทั้งยังมีความอุดมสมบูรณ์ทางด้านวัฒนธรรม โบราณคดี โดยยูเนสโกให้การรับรอง 3 พื้นที่ในจังหวัดเดียวกัน เช่น มรดกโลกที่เขาใหญ่ พื้นที่อุทยานธรณีโลกใน 5 อำเภอที่ อ.เมือง อ.สูงเนิน และอ.เฉลิมพระเกียรติ เป็นต้น
ประการที่ 6 คือ มีสถานที่ท่องเที่ยวของอีสานจำนวนมาก และมีโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐ มีมอเตอร์เวย์ มีรถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูงที่กำลังดำเนินการก่อสร้างเหล่านี้สามารถที่จะต่อยอดได้ นอกจากนี้อีสานยังเป็นขุมทรัพย์ทางด้านแรงงานของประเทศจึงสามารถต้อนรับการลงทุนต่าง ๆได้มากมาย และเป็นแหล่งผลิตพลังงานทดแทน พลังงานสีเขียว
สุดท้ายคือ ฮวงจุ้ยของอีสาน ด้วยภูมิรัฐศาสตรที่เปลี่ยนแปลงไปของอีสาน วันนี้อีสานเป็นประตูสู่อินเดียแปซิฟิก เหล่านี้คือความพร้อมของภาคอีสานที่จะนำมาสู่การพลิกวิกฤติเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤติโลก เพราะอีสานมีความพร้อมมาช่วยกันหาโดยใช้อีสานเป็นพื้นฐานต่อไปได้
แนะรัฐเร่งรัดพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ
รศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ อธิการบดี มรภ.นครราชสีมา กล่าวในหัวข้อ มูนมังอีสาน หรือ ทรัพย์ในดินถิ่นอีสานซึ่งเป็นทรัพย์สินที่คนอีสานได้รับตกทอดมาทั้งหมดวันนี้จะนำไปต่อยอดทางเศรษฐกิจได้อย่างไร จากประชากรของอีสานเกือบ 22 ล้านคน เป็น 1ใน 3 ของประเทศ หากพลิกอีสานได้เชื่อว่าพลิกประเทศได้ เมื่อดูจีดีพีภาคอีสานแค่ 3 จังหวัด คือ โคราช มีจีดีพีสูงสี่สุด ที่กว่า 294,000 ล้านบาท ขอนแก่น 200 กว่าล้าน และ อุบลฯ 100 กว่าล้านบาท
สำหรับโคราช มีฐานการผลิตมากกว่าจังหวัดทำให้ตัวเลขสูงกว่าจังหวัดอื่นแต่เมื่อดูเรื่องของรายได้เฉลี่ยกลับมีตัวเลขต่ำเมื่อเทียบกับตัวเลขของประเทศและหากดูที่โคราชมีทรัพย์สินมหาศาล สิ่งหนึ่งคือ มีเขาใหญ่ที่เป็นมรดกโลก อีกสองแห่ง คือ บ้านเชียงและล่าสุด คือ ภูพระบาท จ.อุดรธานี
เหล่านี้จะช่วยยกระดับรายได้ของประชาชนในพื้นที่ได้ นอกจากนี้ยังความหลากหลายทางชีวภาพชีวภัณฑ์ และที่เพิ่งได้รับการรับรองให้โคราชเป็นเมือง จีโอพาร์ค คือ ความหลากหลายของจีโอพาร์ค เหล่านี้ คือ ทรัพย์สินที่ชาวอีสานที่จะนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชาวอีสานและพลิกเศรษฐกิจไทยได้
นอกจากนี้ภาคอีสานยังมีแร่โพแทชซึ่งกระทรวงทรัพย์ฯ ระบุว่า พบแร่ในสองแอ่ง คือ ที่โคราชครอบคลุมเกือบทุกจังหวัด แอ่งที่สอง คือ สกลนคร มูลค่าแร่ประมาณ 161 ล้านล้านบาทและคาดว่าจะอยู่อับดับ 4 ของโลกขณะที่ปัจจุบันไทยนำเข้าปุ๋ยมูลค่าเป็นหมื่นล้าน ที่สำคัญคือ จะนำขึ้นมาใช้อย่างไรเพื่อที่จะไม่กระทบกับสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นโจทย์สำคัญที่รัฐบาลจะต้องไปคิดต่อเพื่อที่จะทำให้ประชนชนได้รับประโยชน์ นอกจากนี้อีสานยังมีเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดจากรัฐบาลหลายยุคหลายสมัยที่ดำเนินการมาต่อเนื่อง รวมถึงยังมีประเพณีต่าง ๆ เช่น แห่เทียนพรรษา บุญบั้งไฟ ไหลเรือไฟ หมอลำ และผีตาโขน เป็นต้น
เหล่านี้เป็นซอฟท์เพาเวอร์ที่มีทำอย่างไรจะต่อยอดสิ่งเหล่านี้ในทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนในพื้นที่ ขณะที่ตัวตนของคนอีสานซึ่งโดยธรรมชาติ เป็นคนสนุกสนานใจสู้ อดทนและไม่ลืมรากเหง้า คนอีสานที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น ลิซ่าและบัวขาว นี่ถือเป็นทรัพย์สินสำคัญอีกประการที่จะนำไปใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดขึ้นได้อย่างไร
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันด้วย คือ การยกระดับคุณภาพชีวิตและคุณภาพเศรษฐกิจของคนในพื้นที่ด้วยซึ่งคนอีสานมีรายได้เฉลี่ยจากการทำงานอยู่ระหว่าง 12,700-13,000 บาท ขณะที่รายจ่าย 15,000-18,000 บาท
ดังนั้น ถ้าจะยกระดับภาคอีสานต้องทำให้คนอีสานมีรายได้มากขึ้นและสูงขึ้น ขณะที่หนี้สินครัวเรือนคนอีสานสูงกว่าทุกภูมิภาค สูงที่สุดเพื่อทำการเกษตร อาทิ ซื้อปุ๋ย หนี้ทางเกษตรสูงถึง 25% ทั้งยังมีหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคอยู่ 43% เป็นต้น ดังนั้น ทำอย่างไรจะลดหนี้และทำอย่างไรจะทำให้มีรายได้สูงขึ้นได้
ดังนั้น หากจะใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่ของอีสานทั้งหมดมาใช้เพื่อยกระดับเศรษฐกิจภาคอีสาน เสนอให้มีการเร่งรัดขับเคลื่อนเรื่องระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคอีสาน ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในแผนของสภาพัฒน์ และการเร่งรัดให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมบีซีจีที่ต้องมีความชัดเจน เป็นรูปธรรมซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้อีสานเป็นเมืองหลวงทางด้านอุตฯบีซีจี
พร้อมกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เชิงประวัติศาสตร์ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ไม่ใช่อยู่แค่ที่เขาใหญ่แต่ควรขยายออกไปพื้นที่ต่าง ๆ ให้มากขึ้นผ่านอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ที่มีชื่อเสียง รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เช่น การต่อยอดขนบธรรมเนียมประเพณีของภาคอีสานมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น ทำเป็นสินค้าเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน โดยไม่กระทบกับสิ่งแวดล้อม
สุดท้าย คือ เรื่องของคน ที่ต้องไปยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในเรื่องของรายได้ ผ่านทรัพยากรที่มีอยู่ ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ในเรื่องของการบริหารจัดการรายจ่ายและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน ภาคอีสานมีทรัพย์สินอยู่มากมายขาดแต่การบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพ
อีสานครองแชมป์การค้าผ่านแดน 51%
ด้าน จินนา ตันศราวิพุธ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน สศช. บรรยายในหัวข้อ "อีสาน ทำเลทองอินโดจีน ระเบียงเศรษฐกิจใหม่" กล่าวว่า จีดีพีประเทศ 10 % มาจาก 20 จังหวัดในภาคอีสานสร้างมูลค่าที่ 1.7 ล้านล้านบาท โดยปี 65 สร้างรายได้อยู่ที่ 17 ล้านบาท
ขณะที่ประชากรภาคอีสาน 21 ล้านคน โดย 30% ทำกิจการในภาคอีสาน กล่าวได้ว่า อีสานเป็นตัวช่วยตัวหนึ่ง เมื่อมองศักยภาพของอีสานซึ่งสร้างรายได้ให้กับประเทศ 1.7 ล้านล้านมาจากภาคบริการ คือ ภาคการศึกษา ตามด้วยภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตร โดยแรงงานส่วนใหญ่ของภาคอีสานอยู่ที่ภาคเกษตรเป็นหลักอยู่ที่ 53% สร้างรายได้ให้อีสาน 20% ขณะที่ 7 % ทำงานอยู่ในภาคอุตฯ แต่สร้างรายได้ให้กับภาคอีสาน 22%
ขณะที่มองในแง่ของการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สิน (มูนมัง) ของภาคอีสานในด้านการท่องเที่ยวนั้น พบว่า ภาคอีสาน ภาคกลาง ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวใกล้เคียงกันอยู่ที่ 2,000 บาท/คน/วัน ขณะที่ค่าเฉลี่ยของประเทศอยู่ที่ประมาณ 6,800 บาทและเมื่อดูที่สัดส่วนจำนวนนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน/ปี ภาคอีสานนักท่องเที่ยวใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 2,000 บาท/คน/วัน ภาคใต้ใช้ประมาณ 14,000 บาท/คน
สำหรับแหล่งรายได้หลักจากการค้าชายแดน ปัจจุบันภาคอีสานมีด่านศุลกากร 10 ด่าน ด่านถาวรอีก 3 แห่ง สร้างรายได้ให้กับอีสานอย่างมาก 10 ด่าน ปี 67 ประเทศไทยมีรายได้จากด่านสร้างมูลค่า 900,000 ล้านบาท จากด่านหนองคาย 9% หรือประมาณ 83,000 ล้านบาท รองลงมา คือ ที่มุกดาหาร นี่คือจุดที่จะพัฒนาศักยภาพอีสานและมีโอกาสอีกมาก
ส่วนการค้าผ่านแดน พบว่า มีสัดส่วนใกล้เคียงกันกับการค้าชายแดน โดยภาคอีสานมีมูลค่าอยู่ที่ 51% ครึ่งหนึ่งของมูลค่าการค้าของประเทศอยู่ที่อยู่อีสาน ที่ มุกดาหาร อยู่ที่ 35% และนครพนม 12% จากของทั้งหมดของประเทศ ดังนั้น จะต้องมีการยกระดับอย่างไรในอนาคตเพื่อรองรับโครงสร้างพื้นฐานที่จะเกิดขึ้นอนาคต
ทั้งนี้ หากมองการพัฒนาในภาพรวมใน 20 จังหวัดที่ต้องมองร่วมกันและขับเคลื่อนไปตามเป้าหมายที่วางไว้ให้สอดรับกับแนวนโยบายของระเบียงเศรษฐกิจพิเศษฯ ซึ่งเป็นเป้าหมายใหญ่นี้ได้อย่างไร ในแง่ของการลงทุนในปี 66-67 ภายใต้ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษฯ อีสานมีศักยภาพเรื่องของพลังงาน ลม แดด ปิโตรเลียม จะพัฒนาไปอย่างไร เหล่านี้คือโจทย์ที่ต้องนำไปขบคิดร่วมกันซึ่งต้องสมดุลกันเพื่อยกระดับประเทศไปด้วยกัน
ขณะที่ภาคอีสานยังมีปัจจัยที่มีการพัฒนาเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก ทั้งโครงข่ายระบบราง ช่วง จิระ-ขอนแก่น ที่เปิดใช้แล้ว และช่วงมาบกะเบา-สระบุรี ในอนาคตจะทำให้ทุกเส้นเชื่อมถึงถึงกันทั้งหมด นั่นหมายความว่า การเคลื่อนย้ายสินค้าจะทะลุถึงกันทั้งหมดการเคลื่อนย้ายการขนส่งสินค้าจะขึ้นจากภาคใต้มาที่อีสาน นี่คือ โอกาส
นอกจากนี้ในระยะที่สองจะเกิดปี 70 ระบบโครงข่ายช่วงขอนแก่น-หนองคายจะเสร็จสมบูรณ์ เกิดสถานีย่อย 16 สถานี จะเกิดการกิจกรรมทางเศรษฐกิจในอนาคต หากระบบโครงข่ายนี้สำเร็จสมบูรณ์จะใช้โอกาสนี้อย่างไร ในการเชื่อมตัวเองเข้ากับส่วนต่าง ๆ และเชื่อมโยงกับภูมิภาคอื่น ๆ ที่ต้องหยิบฉวยเอาไว้นอกจากนี้ยังมีเรื่องของแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในเรื่องของเทคโนโลยีที่กำลังมา สิ่งที่ต้องมองต่อไป คือ จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างไร เพราะวันนี้ทำให้ทั้งโลกเชื่อมโยงกันทั้งหมด เหล่านี้คือ โอกาสของภาคอีสาน
ททท.ดันท่องเที่ยวอีสาน
ด้าน ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าฯ ททท. บรรยายเรื่อง "การท่องเที่ยวอีสาน ผ่าน Soft Power : จากอัตลักษณ์สู่ความยั่งยืน" สำหรับการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาลหลังจากเกิดสถานการณ์โควิดที่จะใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศที่วันนี้ต้องมองทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศโดยขับเคลื่อนทั้งในส่วนดีมานด์และซัพพลายด์
ที่สำคัญคือการยกระดับศักยภาพทั้งระบบ อัปสกิลและรีสกิลเพื่อเศรษฐกิจของประเทศทั้งหมด วันนี้จำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทยสูงสุดอยู่ที่ 33 ล้านคน นักท่องเที่ยวจีน และอินเดีย เดินทางเข้ามาสูงสุดตามลำดับ คำถาม กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้ามานั้นคิดถึงภาคอีสานในแง่ใดบ้าง เช่น นักท่องเที่ยวอินเดีย มองหาแหล่งท่องเที่ยวแบบครอบครัว ดังนั้น อีสานตอบโจทย์เรื่องนี้หรือไม่ อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาภาครัฐมีนโยบายในการสนับสนุนเรื่องการท่องเที่ยวหลายเรื่อง เช่น นโยบายฟรีวีซ่า และนโยบายอิกไนซ์ไทยแลนด์ เป็นต้น
สำหรับปีนี้ ททท. ดำเนินแนวนโยบายในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับนักท่องเที่ยวในทุกย่างก้าวซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกันไป เช่น จีนต้องการความปลอดภัย คุณภาพสินค้าและบริการ และประสบการณ์ที่ดี นอกจากนี้ในปีนี้ททท. ดำเนินกลยุทธ์ "เสน่ห์ไทย 5 Must Do in Thailand must do in Thailand" รักษาฐานลูกค้าเดิม เพิ่มเติมลูกค้าใหม่ ขยายซึ่งความเชื่อมเกี่ยว
พร้อมขับเคลื่อนเสน่ห์ความเป็นไทยในทุก ๆ มิติ สำหรับเสน่ห์ภาคอีสานมีมากมายที่เป็นโอกาส ไม่ว่าจะเป็นแก่นของอีสานที่มีรากฐานของเกษตรกรรม อาทิ สุราท้องถิ่น การทอผ้า การย้อมผ้าคราม ที่ททท.ทำต่อเนื่อง ปีนี้จะดำเนินกิจกรรมแฟชั่น ขณะที่ในปีหน้าประเทศไทยมีหลายโครงการ เช่น งานซีเกมส์ เป็นต้น