"จีน"กำลังครองการผลิตโลก ใครจะตามทัน

11 ธ.ค. 2567 | 05:04 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ธ.ค. 2567 | 05:04 น.

หลังจากทศวรรษแห่งการเติบโตที่รวดเร็ว จีนกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของการแข่งขันด้านการผลิตที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ทั้งความท้าทายจากเทคโนโลยี พลังงานสะอาด และความตึงเครียดทางการค้า การปรับตัวของจีนในบริบทโลกจะกำหนดอนาคตของการผลิตระดับโลกได้อย่างไร

ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา จีน ได้กลายเป็นผู้นำด้านการผลิตของโลก โดยมีส่วนแบ่ง มูลค่าเพิ่มของการผลิต (Manufacturing Value Added: MVA) ที่คาดว่าจะพุ่งสูงถึง 45% ภายในปี 2030 จากเพียง 6% ในปี 2000 ซึ่งถูกบดบังโดยยักษ์ใหญ่ด้านการผลิตอย่างสหรัฐ ญี่ปุ่น และเยอรมนี โดยไม่ต้องพูดถึงประเทศรายได้สูงอื่นๆ อีกหลายประเทศ

ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปเมื่อจีนเข้าร่วม WTO ในปี 2001 ทำให้มีข้อตกลงทางการค้าที่ดีขึ้นกับประเทศสมาชิกอื่นๆ ในเวลาเดียวกัน รัฐบาลได้เปิดเศรษฐกิจมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยอนุญาตให้มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในภาคส่วนสำคัญหลายภาคส่วน ส่งผลให้ธุรกิจใหม่ๆ เติบโตอย่างรวดเร็ว

การปฏิรูปเศรษฐกิจในทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเปลี่ยนประเทศจากสังคมเกษตรกรรมไปเป็นสังคมอุตสาหกรรม และการผสมผสานกับสังคมนิยมตลาดเสรี ได้เตรียมความพร้อมให้ประเทศก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตในระดับโลก

แรงงานที่มีทักษะจำนวนมากซึ่งมีราคาถูกกว่าแรงงานในประเทศที่มีรายได้สูงช่วยกระตุ้นการเติบโตได้อย่างมาก ในช่วงกลางทศวรรษปี 2000 การส่งออกคิดเป็น1 ใน 3 ของ GDP ของจีน และการส่งออกเหล่านี้ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร สินค้าอุปโภคบริโภค สิ่งทอ แม้กระทั่งสินค้าที่เฉพาะเจาะจงอย่างการต่อเรือ

\"จีน\"กำลังครองการผลิตโลก ใครจะตามทัน

ภายในปี 2030 สหประชาชาติ คาดการณ์ว่าจีนจะมีส่วนแบ่ง 45% ของมูลค่าเพิ่มการผลิตทั่วโลก เเละคาดว่าสหรัฐฯ จะมีส่วนแบ่ง 11% ตามมาเป็นอันดับสอง

 

 

จับตาผู้นำด้านการผลิตระดับโลก

การครอบครองตลาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อโลกกำลังเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านเทคโนโลยี การเมือง และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจีนจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรักษาตำแหน่งนี้ไว้

สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ โดนัล ทรัมป์ ขู่ขึ้นภาษีสินค้าจากจีน ซึ่งยังคงส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก การปรับภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นทำให้บริษัทข้ามชาติหลายแห่งเริ่มมองหาประเทศอื่นในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลาง (UMIC) และรายได้ต่ำ (LMIC) เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย เพื่อกระจายความเสี่ยง การแข่งขันนี้เป็นแรงกดดันที่จีนต้องเผชิญ

การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและ Belt and Road Initiative

จีนตอบโต้ความท้าทายด้วยการขยายบทบาทผ่านโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ซึ่งเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกเพื่อเชื่อมโยงจีนกับประเทศกำลังพัฒนา การสร้างเครือข่ายทางเศรษฐกิจที่กว้างขึ้นนี้อาจช่วยเพิ่มความได้เปรียบในตลาดโลก แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศที่ร่วมโครงการก็อาจกลายเป็นคู่แข่งด้านการผลิตในอนาคต

 การเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีขั้นสูง

อุตสาหกรรม 4.0 กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตทั่วโลก เทคโนโลยีอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI), หุ่นยนต์อัตโนมัติ และ Internet of Things (IoT) กลายเป็นหัวใจของการผลิตที่มีประสิทธิภาพ หากจีนสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในระบบการผลิตได้สำเร็จ จีนจะยังคงเป็นผู้นำ แต่หากล่าช้า ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่นและเยอรมนีอาจกลับมาแย่งส่วนแบ่งตลาด

วิกฤตพลังงานและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด

ภาคการผลิตของจีนยังคงพึ่งพาถ่านหินและแหล่งพลังงานที่ไม่ยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงของโลกสู่พลังงานสะอาด เช่น การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของจีนในฐานะศูนย์กลางการผลิตระดับโลก

ผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19

วิกฤตโควิด-19 เปิดเผยจุดอ่อนของการพึ่งพาการผลิตในจีนเพียงแห่งเดียว หลายบริษัทได้เริ่มย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น เช่น อินเดียหรือประเทศในแอฟริกา การปรับตัวเพื่อรักษาห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญที่จีนต้องทำ

การเติบโตของอาเซียน

ภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะเวียดนามและอินโดนีเซีย ได้รับความสนใจในฐานะฐานการผลิตใหม่ ด้วยต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่าและสิทธิพิเศษทางการค้าจากประเทศตะวันตก จีนจำเป็นต้องยกระดับการผลิตของตนให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นเพื่อแข่งขันกับประเทศเหล่านี้

อนาคตของการผลิตระดับโลกอยู่ในมือของจีนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ จีนจะต้องปรับตัวทั้งในด้านเทคโนโลยี การเมือง และพลังงานสะอาด การแข่งขันที่เข้มข้นกับประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะในอาเซียน อาจเป็นตัวเร่งให้จีนเข้าสู่ยุคใหม่ของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและหลากหลายมากยิ่งขึ้น