วันที่ 13 มิถุนายน 2567 นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า จากการสำรวจตัวอย่างประชาชนทั่วประเทศจำนวน 2,245 คน พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือน พ.ค. 2567 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 60.5 จากเดือน เม.ย. 2567 อยูที่ระดับ 62.1 เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และต่ำสุดในรอบ 7 เดือน นับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2566 เป็นต้นมา
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 54.3 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวมอยู่ที่ 57.6 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 69.8 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ในรอบ 10 เดือนทุกรายการ
1. ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ 40 สว. เกี่ยวกับความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน กรณีที่แต่งตั้งบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าขาดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี ส่งผลให้ผู้บริโภคเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมือง
2.สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช. ) เผยภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกปี 2567 ขยายตัวต่อเนื่องที่ 1.5. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้ แรงขับเคลื่อนจากการบริโภคภาคเอกชน และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและธุรกิจที่ เกี่ยวเนื่อง พร้อมทั้งปรับลดประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2567 คาดว่าจะขยายตัว 2.5% ในช่วงคาดการณ์ 2.0-3.0 ลดลงจากที่คาดไว้ก่อนหน้าที่คาดว่าจะขยายตัว ได้ 2.7% (2.2-3.2%)
3. ผู้บริโภคมีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพ รวมถึง ผู้บริโภคยังรู้สึกว่ารายได้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับค่าครองชี้พที่ปรับตัวสูงขึ้น
4. ราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกในประเทศ ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1.00 บาทต่อลิตร จากระดับ 30.94 บาทต่อลิตร ณ สิ้นเดือนเมษายน 2567 มาอยู่ที่ระดับ 32.94 บาทต่อลิตร ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2567
5. ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ ทั้งสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเชียและยูเครน การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับขบวนการฮามาส
(Hamas) ปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลกให้ช้าลงหรือชะลอตัวลง และอาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการส่งออกและเศษฐกิจไทยในอนาคต
6. SET Index ในเดือนพฤษภาคม 2567 ปรับตัวลดลง 22.29 จุด โดยปรับตัวลดลงจาก 1,367.95 จุด ณ สิ้นเดือนเมษายน 2567 เป็น 1,345.66 จุด ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2567 ซึ่งบรรยากาศการลงทุนทั่วโลกยังมีความกังวลเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคาร
กลางต่างๆ ทั่วโลกเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ อาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยและอาจมีปัญหารุนแรงซึ่งจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยในที่สุด
7. เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 36.789 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนเมษายน 2567 เป็น 36.636 บาทต่อดอลลาร์ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2567 สะท้อนว่ามีการไหลออกสุทธิของเงินตราต่างประเทศ
8. ความกังวลต่อสถานการณ์เอลนีโญ และภัยแล้ง ที่จะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำทั้งภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ ตลอดจนภาคครัวเรือน
“ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเริ่มหันเข้าสู่วัฎจักรขาลง แต่คงยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะลดลงไปถึงจุดไหน โดยสถานการณ์ทางการเมืองในเดือนมิถุนายน 2567 จะโดดเด่น หรือทรุดตัวแค่ไหนนั้น เป็นสิ่งที่ประชาชนและภาคธุรกิจไม่มีความมั่นใจ ซึ่งภาพนี้ได้ไปสะท้อนในตลาดหลักทรัพย์จากผลของความไม่นิ่งของการเมืองไทย และยังไม่สามารถประเมินได้ว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะกลับมาเป็นขาขึ้นเมื่อใด” นายธนวรรธน์ กล่าว
ขณะเดียวกันก็มีปัจจัยบวก คือ ภาครัฐดำเนินมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชน และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ การออกมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในเมืองรอง 55 จังหวัด ในช่วงระหว่างวันที่ 1 พ.ค.-30 พ.ย. 67 ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น หรือทรงตัว ส่งผลให้เกษตรกรเริ่มมีรายได้สูงขึ้น และมีกำลังซื้อในต่างจังหวัดเริ่มปรับตัวดีขึ้น การส่งออกของไทยเดือน เม.ย. 67 ขยายตัว 6.81% มูลค่าอยู่ที่ 23,278 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และการนำเข้าเพิ่มขึ้น 8.35% มีมูลค่าอยู่ที่ 24,920 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ขาดดุลการค้า 1,641 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นต้น
นายธนวรรธน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ศูนย์พยากรณ์ฯ คาดว่าเศรษฐกิจไทยแม้จะมีปัจจัยบวกดีอยู่บ้าง แต่เนื่องจากปัญหาด้านการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม ทำให้เกิดความกังวลที่ผลจะออกมาว่าเกิดความวุ่นวายหลังมีคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญของนายกรัฐมนตรีและพรรคก้าวไกลที่จะออกมาในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคม ออกมาเริ่มลดลงต่อเนื่องติดต่อกัน 3 เดือน
ทั้งนี้ภาคธุรกิจได้เสนอแนวทางดำเนินการในการแก้ไขปัญหา ดังนี้