นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตนพร้อมคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน ติดตามความคืบหน้าโครงการสัตว์ส่งออกมีชีวิตให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลและตามมาตรฐานการควบคุมสัตว์และสิ่งแวดล้อม เพิ่มศักยภาพทางธุรกิจ พัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ขณะเดียวกันท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน (ทชส.) ได้เริ่มดำเนินโครงการส่งออกสัตว์มีชีวิต โดยได้ขนส่งสุกรเป็นรอบปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2567 โดยโครงการฯ เป็นความร่วมมือระหว่าง กทท. และกรมเจ้าท่าร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมเจ้าท่า กรมศุลกากร และกรมปศุสัตว์ เป็นต้น เพื่อส่งเสริมอาชีพเกษตรกรในพื้นที่อำเภอท่าเรือเชียงแสนและพื้นที่โดยรอบท่าเรือ
นอกจากนี้ยังช่วยสร้างรายได้ให้ ทชส. เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ภาคธุรกิจ และเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ทั้งนี้ กทท. ได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จัดทำรายงานศึกษาวิจัยและคู่มือสัตว์ส่งออก-สัตว์มีชีวิต เพื่อให้การดำเนินกิจกรรมลดความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดจนการขนส่งสัตว์มีชีวิตเป็นไปตามระเบียบข้อกำหนดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นางมนพร กล่าวต่อว่า รัฐบาลมีนโยบายเร่งรัดที่จะสนับสนุนการส่งออกโค กระบือ สุกรไปยังประเทศจีน เวียดนาม และประเทศเพื่อนบ้านให้มากที่สุด เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์เหล่านี้เป็นอาชีพเสริมอยู่แล้ว โดยจะผลักดันเป็นอาชีพหลัก
“เมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมาเราก็ทำสำเร็จ มีการส่งออกสุกรล็อตแรก จำนวน 175 ตัว ไปยังประเทศจีน โดยครั้งนี้ตนได้ลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณด่านกักสัตว์ให้มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการควบคุมโรคและความปลอดภัยให้เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับ เชื่อว่า ทชส. เป็นด่านขนส่งสัตว์ที่มีความสำคัญและมีความพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการในการส่งออกสัตว์ไปยังต่างประเทศ เพื่อเพิ่มศักยภาพ รายได้ ตลอดจนพัฒนาการใช้พื้นที่ท่าเรือให้เกิดประโยชน์สูงสุด”
นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) กล่าวว่า ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนพร้อมสนับสนุนการทำงานร่วมกับประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ สำหรับการส่งออกสัตว์มีชีวิตเป็นสิ่งที่บูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อสร้างอาชีพเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร และรักษาระดับราคาในเรื่องของสัตว์มีชีวิต
นอกจากนี้ได้ให้ความสำคัญในการแบ่งพื้นที่ดำเนินการให้เป็นสัดส่วนชัดเจน ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับการขนส่งสินค้าทั่วไป และดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามกฎระเบียบข้อกฎหมาย เช่น การแจ้งนัดหมายล่วงหน้า การกำหนดจุดขนย้ายและจุดกักกันสัตว์ การจัดการของเสียสิ่งปฏิกูล การควบคุมเชื้อโรคและโรคระบาด การใช้เส้นทางและระยะเวลาในการขนส่งสัตว์ ตลอดจนการสร้างความเข้าใจกับชุมชน
“เชื่อว่าการนำร่องด้วยการผลักดันนโยบายภาครัฐและการประสานความร่วมมือของทุกภาคส่วนจะทำให้โครงการประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับของชุมชนนำมาซึ่งรายได้ที่มั่นคงให้กับเกษตรกรและเศรษฐกิจของประเทศ"
ส่วนการส่งออกสัตว์มีชีวิตที่ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนมีความสะดวกสบายทั้งในส่วนของด้านเอกสารพิธีการศุลกากรที่ท่าเรือให้บริการแบบ One Stop Service การบริหารจัดการพื้นที่ มาตรการป้องกันด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม เช่น กลิ่นเสียงรบกวน และความสะอาด รวมทั้งอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น แรงดันน้ำในการทำความสะอาดสัตว์ ไฟส่องสว่าง ทางขึ้นลงของสัตว์ ฯลฯ
นายเศกสันติ์ กองศรี ประธานชมรมผู้ส่งออกสัตว์มีชีวิต จังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าการขนส่งสัตว์ที่ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน ทั้งผู้ประกอบการที่ลดภาระค่าใช้จ่ายในการลงสัตว์ที่ลดลงเกือบ 50% ส่วนท่าเรือก็ได้รายได้เพิ่มขึ้นจากการให้บริการด้วย
สำหรับท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนเป็นประตูการค้าระหว่างประเทศไทยกับประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน เพื่อส่งเสริมการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ ตามข้อตกลงว่าด้วยการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ระหว่าง 4 ประเทศ ได้แก่ สป.จีน สปป.ลาว สหภาพเมียนมา และไทย มีท่าเรือขนส่งสินค้า 3 ท่าและท่าเรือขนส่งกลุ่มธุรกิจประเภทน้ำมัน 1 ท่า ปัจจุบันการขนส่งสินค้าส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าส่งออกประเภทสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเกษตร สัตว์ปีกแช่แข็ง
อย่างไรก็ตามยังมีการขนส่งสินค้าประเภทรถยนต์ทั้งมือหนึ่งและมือสอง เช่น รถกระบะ รถ SUV รถบรรทุกขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ฯลฯ ไปยังสหภาพเมียนมาและ สปป.ลาว เป็นจำนวนมากเนื่องจากทั้งสองประเทศนี้มีความต้องการใช้รถในการขับขี่และจำหน่ายภายในประเทศ