สศช. หวั่นคนไทยเกือบ 4.6 ล้านคน เสี่ยงกลายเป็น “คนจน” ชั่วพริบตา

01 ธ.ค. 2566 | 00:16 น.

สศช.เปิดรายงานสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำไทย ปี 2565 แม้จำนวนคนจนจะลดลงต่อเนื่อง แต่ต้องจับตา คนไทยอีกกว่า 4.6 ล้านคนที่อยู่ในภาวะเกือบจน อาจกลายเป็นคนจนได้ หลังซมพิษโควิดยาวนาน

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยรายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2565 พบว่า แม้จำนวนคนจนในปีนี้จะลดลงจากปี 2564 ที่มีจำนวน 4.4 ล้านคน โดยลดลงเหลือ 3.8 ล้านคน แต่เมื่อลงลึกไปในรายละเอียดยังมีครัวเรือนเกือบจน หรือกลุ่มคนที่เสี่ยงจะเป็นคนจนอีกจำนวนมากที่จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้จากการสำรวจข้อมูลพบว่า เมื่อพิจารณาความยากจนตามระดับความรุนแรง ในปี 2565 แบ่งเป็นกลุ่มต่าง ๆ ตามระดับความยากจน ดังนี้

  • กลุ่มคนจนมาก หรือกลุ่มที่มีปัญหาความยากจนที่รุนแรง พบว่ามีจำนวนรวม 1.04 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 1.49% ของประชากรทั้งประเทศ ลดลงจากจำนวน 1.36 ล้านคน หรือ 1.95% ของประชากรทั้งประเทศในปี 2564 
  • กลุ่มคนจนน้อย มีจำนวน 2.76 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 3.94% ของประชากรทั้งประเทศ ลดลงจาก 3.05 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 4.37% ของประชากรทั้งประเทศ ในปี 2564 
  • กลุ่มคนเกือบจน ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นคนจนได้ง่าย พบว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 4.64 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 6.64% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งลดลงจากจำนวน 4.82 ล้านคน หรือ 6.91% ในปี 2564

 

ความยากจนตามระดับความรุนแรง ในปี 2565 โดยเฉพาะจำนวนคนจนและกลุ่มคนเสี่ยงที่จะกลายเป็นคนจน

 

สศช. ระบุข้อมูลว่า สถานการณ์ความรุนแรงของปัญหาความยากจนตั้งแต่ปี 2531 เป็นต้นมา มีแนวโน้มลดลงอย่าง ต่อเนื่อง สอดคล้องกับตัวชี้วัดช่องว่างความยากจน (Poverty gap) และระดับความรุนแรงของปัญหา ความยากจนที่ปรับตัวดีขึ้น 

โดยช่องว่างความยากจน (Poverty Gap) หรือ ระดับความแตกต่างระหว่าง รายจ่ายของคนที่ตกอยู่ใต้เส้นความยากจนกับเส้นความยากจน ลดลงจาก 0.97 ในปี 2564 เป็น 0.79 ในปี 2565 ขณะที่ความรุนแรงของปัญหาความยากจน ลดลงจาก 0.24 ในปี 2564 เป็น 0.19 ในปี 2565

 

สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2565

สถานการณ์ความยากจนของไทย ปี 2565

ภาพรวมของสถานการณ์ความยากจนของไทย ในปี 2565 พบว่า ปรับตัวดีขึ้น โดยมีจำนวนคนจนทั้งสิ้น 3.80 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนคนจน 5.43% ลดลงจากปีก่อนที่สัดส่วนคนจน 6.32% และหากพิจารณาจำนวนครัวเรือนยากจน พบว่า ในปี 2565 ครัวเรือนยากจนมีจำนวนทั้งสิ้น 1.12 ล้านครัวเรือน คิดเป็นสัดส่วน 4.14% ของครัวเรือนทั้งหมด ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีจำนวนครัวเรือนยากจนประมาณ 1.24 ล้าน ครัวเรือน 

โดยสาเหตุสำคัญของการปรับตัวดีขึ้นของสถานการณ์ความยากจนในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลมาจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นและประชาชนส่วนใหญ่สามารถรับมือกับการแพร่ระบาดได้ดีขึ้น ส่งผลให้การดำรงชีวิตหรือใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนส่วนใหญ่มีแนวโน้มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ นำไปสู่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยเฉพาะภาคครัวเรือนที่การบริโภคกลับมาขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนหน้า 

รวมทั้งการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้าส่งค้าปลีก และภาคโรงแรมและภัตตาคาร ซึ่งมีส่วนช่วยให้รายได้ของครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งรัฐบาลยังมีการดำเนินมาตรการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างต่อเนื่อง 

โดยในปี 2565 มีโครงการช่วยเหลือประชาชนที่สำคัญ เช่น โครงการเพิ่มกำลังซื้อผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 และ ระยะที่ 5 ที่ให้ความช่วยเหลือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ครอบคลุมเดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2565 โครงการ คนละครึ่ง ระยะที่ 4 และระยะที่ 5 เป็นต้น

 

สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2565

 

ขณะที่เส้นความยากจน ในปี 2565 พบว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 2,803 บาทต่อคนต่อปี ในปี 2564 มาอยู่ที่ 2,997 บาทต่อคนต่อปี โดยสาเหตุสำคัญมาจากการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอาหาร สะท้อนให้เห็นถึงค่าครองชีพประชาชนที่เพิ่มขึ้นทั้งในภาพรวมประเทศและภูมิภาคต่าง ๆ ทั้ง กรุงเทพมหานคร ภาคกลาง และภาคใต้ ทำให้ระดับเส้นความยากจนปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้แม้ว่าความยากจน จะมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังติดอยู่ในกับดักของความยากจน พบว่า จำนวนครัวเรือนที่มีแนวโน้มจะตกอยู่ในความยากจนข้ามรุ่น มีประมาณ 597,428 ครัวเรือน หรือประมาณ 15% ของครัวเรือนที่มีเด็กและเยาวชนเป็นสมาชิก และมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นผลสืบเนื่องผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา

โดยเมื่อพิจารณาลักษณะของครัวเรือนยากจนข้ามรุ่นพบว่า ส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาน้อย อัตราการพึ่งพิงสูง และไม่มีเงินออม สาเหตุหลักที่ส่งผลให้ครัวเรือนมีแนวโน้มเป็นครัวเรือนยากจนข้ามรุ่น คือ ไม่มีเงินออม เด็กอายุ 6-14 ปี ไม่ได้รับกำรศึกษาภาคบังคับครบ 9 ปี 

นอกจากนี้เกือบ 70% ของหัวหน้าครัวเรือนมีการศึกษาสูงสุดเพียงระดับชั้นประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ในด้านโครงสร้างประชากรภายในครัวเรือน พบว่า อัตราส่วนการพึ่งพิงของเด็กและผู้สูงอายุต่อวัยแรงงานสูงถึง 90%

โดยสัดส่วนของสมาชิกวัยเรียนอายุ 6-14 ปีอยู่ที่ 23.7% หัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม รองลงมาคือรับจ้างทั่วไป โดยกว่า 30% ของครัวเรือนยากจนข้ามรุ่นอาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคเหนือ

 

สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2565