ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC) กล่าวในงานสัมมนา Investment Forum : New Chapter, New Opportunity หัวข้อเรื่อง “มหาพายุพัดกระหน่ำ เศรษฐกิจโลก เสี่ยงถดถอย” จัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ว่า ผลการประชุมของธนาคารการกลางสหรัฐ (เฟด) ที่หยุดการขึ้นดอกเบี้ย ไม่ได้เป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ แต่เซอร์ไพรส์ที่คาดว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง
ทั้งนี้ มองว่าสิ่งที่เฟดพยายามสื่อสาร คือ การขึ้นดอกเบี้ยไม่จำเป็นต้องขึ้นต่อไปเรื่อยๆ แต่การขึ้นดอกเบี้ยไปสักพักแล้ว เว้นช่วงแล้วค่อยขึ้นต่อก็สามารถทำได้ ถามว่าเฟดมีความกังวลใจอย่างไรที่ทำให้จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ ก็เป็นเรื่องสถานการณ์เงินเฟ้อ
“นักเศรษฐศาสตร์มีการประเมินว่า สถานการณ์เงินเฟ้อของสหรัฐ เกิดจากเรื่องต้นทุน ราคาน้ำมัน เศรษฐกิจดี จึงมีการแย่งกันซื้อ และการคาดการณ์ จึงมองว่าสิ่งที่เฟดพยายามบอกว่าการที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง เป็นตั้งใจกดการคาดการณ์เอาไว้ว่าอย่าเพิ่งฟุ้ง ถ้าฟุ้งจะขึ้นอีก 2ครั้ง ซึ่งหากเฟดกดคาดการณ์เงินเฟ้อได้ คาดว่าจะขึ้นอีกแค่ครั้งเดียว”
ขณะที่เศรษฐกิจไทยนั้น มีการมองวัฏจักรทั้งระยะสั้น และระยะยาว โดยในระยะสั้นนั้นวัฏจักรกำลังอยู่ระดับขาขึ้น แต่กังวลใจในระยะยาว อย่างไรก็ดี ระยะสั้นมองว่าเศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงขาขึ้น คาดปี 2566 นี้ ยังขยายตัวได้ 3.9% แต่ทีมการเติบโตของเศรษฐกิจมีอยู่ 3 ส่วน ได้แก่
“แม้เศรษฐกิจดีขึ้น แต่อนาคตก็มีโอกาสกลับมาป่วยอีกครั้ง เช่นเดียวกันกับการลงทุนจะต้องมีการระมัดระวัง เพราะหากเศรษฐกิจกลับมาป่วยอีกครั้งยาก็มีน้อยลง ความเปราะบางภาคครัวเรือนมีเยอะขึ้น เครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดดอกเบี้ยก็มีข้อจำกัด โดยภาครัฐก็กู้เงินมาเยียวยาช่วงโควิดเยอะแล้ว โอกาสเข้าถึงยารักษาจึงมีน้อยลง ฉะนั้น การป้องกันก่อนจึงสำคัญ”
“เกียรตินาคินภัทร” คาดเศรษฐกิจโลกถดถอยช้า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า เหตุการณ์คงที่อัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมครั้งนี้ และเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา สะท้อนว่าโลกอยู่คนละ Circle แม้กระทั่งในสหรัฐฯ ตัวเลขกิจกรรมภาคการผลิตอยู่ในภาวะถดถอยมาหลายเดือนแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เศรษฐกิจยังดีคือภาคบริการ และแรงงาน
ทั้งนี้ ที่มีการประเมินว่าจะมีความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจโลกถดถอยในปีนี้ อาจจะขยับไปเป็นช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปี 2567 ฉะนั้น เรื่องความเสี่ยงโมเมนตัมดีกว่าที่ตลาดคาด
ขณะที่สัญญาณหนี้ทั่วโลกนั้น ก็เป็นเรื่องที่น่ากังวล โดยสหรัฐฯ ก่อนเกิดวิกฤตโควิด หนี้สาธารณะอยู่ที่ 70-80% ปัจจุบันขึ้นไปอยู่ที่ 100% และหากรวมทุกอย่างที่อยู่ในมือ ประมาณ 120% ต่อจีดีพี ซึ่งเมื่อดอกเบี้ยอยู่ระดับต่ำจะไม่มีปัญหา แต่เมื่อดอกเบี้ยเริ่มขยับจะเริ่มตั้งคำถามแล้วว่าจะมีปัญหาหรือไม่ ส่วนญี่ปุ่น ขณะนี้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเป็น 260%ต่อจีดีพี ซึ่งหากดอกเบี้ยเริ่มขยับก็จะมีประเด็น
“สิ่งที่ควรจะมองกลับมา คือ ขนาดเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจค่อนข้างมาก แล้วประเทศที่กำลังพัฒนาขณะที่ดอกเบี้ยกำลังขยับขึ้นเรื่อยๆ ก็จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น ส่วนหนี้ภาคเอกชน หนี้ครัวเรือนในประเทศไทยนั้น ก็เป็นอีกหนึ่งภาวะปัจจัยที่ต้องติดตาม”
ส่วนเศรษฐกิจไทยภาพรวมยังฟื้นตัว แต่ในไส้ในอาจเจอปัญหาการฟื้นตัวโลก 2 ใบ โดยโลกใบหนึ่ง คือ การท่องเที่ยว ทำให้ภาคบริการกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ อย่างไรก็ดี ภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจโดยรวมของไทยยังฟื้นตัวช้า แม้ว่าจะฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดโควิดแล้ว เพราะปัญหาการท่องเที่ยวที่กลับมาไม่ได้กระจายตัว
ขณะที่โลกอีกใบเป็นกลุ่มอื่นๆ ที่ยังเผชิญปัญหา และหากเอาการท่องเที่ยวออกการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเริ่มแผ่ว การส่งออกปีนี้ก็จะติดลบ ซึ่งจะเป็นอีกแรงกดดัน ฉะนั้น เครื่องจักรเศรษฐกิจที่ทำงานอยู่มีเพียงการท่องเที่ยวเท่านั้น
“TDRI” ชี้จีนความหวังหมู่บ้าน กลุ่มอาเซียนแข็งแกร่ง แม้เสี่ยงเศรษฐกิจโลกถดถอย
ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการโครงการ TDRI Economic Intelligence Service (EIS) สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกมีความถดถอย แต่เศรษฐกิจยังโตอยู่ ไม่ได้หดตัว แต่เป็นการหดตัวแบบช้าๆ ซึ่งเป็นนิยามของคำว่าถดถอยที่เราพูดกันอยู่ อย่างสหรัฐฯ ทางธนาคารโลกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจยังโตอยู่ที่ 1.1% ส่วนยุโรปก็คาดว่าจะขยายตัว 0.5% แต่เป็นการขยายตัวเล็กน้อยในส่วนเศรษฐกิจใหญ่ของโลก
หากถามว่าเศรษฐกิจใดที่สำคัญกับโลกและถดถอย คงจะเป็นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรป ส่วนหากถามว่าประเทศที่น่าเป็นห่วงก็จะเป็นยุโรป เนื่องจากเงินเฟ้อมาจากต้นทุนเป็นส่วนใหญ่ ควบคลุมเองไม่ได้ จึงส่งผลให้เกิดสถานการณ์เงินเฟ้อ และทำให้กำลังซื้อของคนในยุโรปลดลง และส่งผลกระทบต่อไทยที่ส่งออกไปยังยุโรปค่อนข้างมาก
ส่วนประเทศที่กำลังพัฒนา ในภาวะที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง หนี้ก็สูงด้วย โดยเฉพาะช่วงวิกฤตโควิดรัฐบาลต้องกู้เงินเพื่อมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจนั้น IMF ก็มีการคาดการณ์ว่า 1 ส่วน 3 ของประเทศที่กำลังพัฒนาอาจจะมีปัญหาได้ อย่างไรก็ตาม หากดูประเทศในอาเซียนนั้นยังสามารถไปต่อได้ ส่วนใหญ่ที่มีปัญหาอาจจะอยู่ในแอฟริกา เป็นต้น
“อาเซียนค่อนข้างแข็งแกร่ง หลังจากเรียนรู้เรื่องวิกฤตต้มยำกุ้ง ทุกประเทศสะสมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ฉะนั้น หากถามว่าถดถอยก็จะเป็นประเทศใหญ่ๆ ที่กระทบเรามากที่สุด”
ด้านจีนนั้น เป็นความหวังของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก ประเป็นประเทศที่จะเติบโตมากกว่าปีที่แล้ว โดยธนาคารโลกคาดว่าปี 2566 จะขยายตัวได้ 5.6% ถึงแม้เราจะดูว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะไม่ได้ร้อนแรง และหวือหวาเหมือนสมัยก่อนโควิด แต่ก็ดีกว่าประเทศอื่นๆ ที่เป็นคู่ค้าหลักของไทย
“หากถามรัฐบาลจีน คาดว่าปีนี้เศรษฐกิจน่าจะโตได้ 5% แสดงว่ารัฐบาลจีนก็ไม่ได้อยากให้เศรษฐกิจโตเยอะอยากให้เศรษฐกิจโตแบบกระจายมากกว่า ฉะนั้น การเติบโตของเศรษฐกิจอย่างเดียวไม่ใช่เป้าหมายหลัก แต่เขาให้ความสำคัญธุรกิจเอสเอ็มอีในมณฑลต่างๆ ซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะแตกต่างจากก่อนโควิด และการบริโภคของคนจีนอาจจะเป็นตัวขับเคลื่อน”