กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง 2 ปี ช่วยแรงงานผู้เดือดร้อนกว่า 260 ล้าน

02 เม.ย. 2566 | 09:13 น.

กระทรวงแรงงาน เผยผลงานกระทรวงแรงงาน จ่ายเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างให้แก่ลูกจ้าง 18,912 ราย ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการจ้างงานกว่า 260 ล้าน ล่าสุด ช่วยลูกจ้างโรงงานแบตเตอรี่ หางานใหม่ จ่ายว่างงาน ตรวจสอบสิทธิพึงได้

นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานโดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมีกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเพื่อเป็นทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงาน หรือตาย หรือในกรณีอื่นตามที่กำหนดโดยมีคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเป็นผู้บริหาร ซึ่งเงินสงเคราะห์ของกองทุนดังกล่าวจะจ่ายให้กับลูกจ้างที่ได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย หรือนายจ้างไม่สามารถจ่ายค่าจ้าง หรือเงินอื่นตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แต่ไม่รวมถึงทายาทโดยธรรมของลูกจ้าง ซึ่งถึงแก่ความตายที่ได้ยื่นคำร้องทุกข์ไว้

 

ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2563 – 31 ธันวาคม 2565 คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติการจ่ายเงินสงเคราะห์ เป็นเงินทั้งหมด 261,241,791.04 บาท มีลูกจ้างที่รับเงินสงเคราะห์ 18,912 ราย แบ่งเป็น 2 กรณี คือ 1.กรณีค่าชดเชย จำนวน 11,337 ราย เป็นเงิน 172,713,835.16 บาท และ 2.กรณีอื่นนอกจากค่าชดเชย จำนวน 7,575 ราย เป็นเงิน 88,527,955.88 บาท สำหรับในส่วนการรับชดใช้เงินคืน/เงินรับคืนกองทุนฯ จำนวน 59,839,406.18 บาท และดอกเบี้ยเงินสงเคราะห์ จำนวน 4,477,061.53 บาท 

นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า เงินสงเคราะห์ลูกจ้างจะได้รับการพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป ซึ่งกองทุนฯ จะจ่ายเงินสงเคราะห์ 2 กรณี คือ

  1. เงินสงเคราะห์ในกรณีที่นายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชยให้ตามกฎหมาย โดยจะจ่ายเงินสงเคราะห์ให้บางส่วน หรือไม่เต็มสิทธิตามที่กฎหมายกำหนด คือจ่ายให้ ลูกจ้างผู้ขอรับเงินสงเคราะห์ในอัตรา 30 เท่า หรือ 60 เท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวันที่ลูกจ้างพึงได้รับ
  2. เงินสงเคราะห์ในกรณีอื่นนอกจากค่าชดเชย เช่น ค่าจ้างค้างจ่าย ฯลฯ จะให้การสงเคราะห์เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ สำหรับอัตราเงินที่จะจ่ายให้แก่ลูกจ้างจะจ่ายในอัตราไม่เกิน 60 เท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวันของลูกจ้างที่พึงได้รับตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง แรงงาน พ.ศ. 2541 

ส่วนกรณี “โรงงานแบตเตอรี่ เลี้ยงข้าวมื้อสุดท้าย ก่อนปิดโรงงาน” ได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมเร่งให้ความช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบตามอำนาจหน้าที่ เบื้องต้นได้รับรายงานจาก สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จ.สมุทรปราการ ว่าโรงงานแบตเตอรี่ตามข่าว ตั้งอยู่อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ประกอบกิจการ ผลิตแบตเตอรี่และหม้อสะสมไฟฟ้า โรงงานประสบปัญหาและมีการหารือกับสหภาพแรงงานมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 มีการโยกย้ายลูกจ้างแผนกแบตเตอรี่รถยนต์ ประมาณ 200 คน ไปปฏิบัติงานแผนกผลิตถ่านอัลคาไลน์ 

 

ต่อมาจึงมีการเลิกจ้างลูกจ้างโดยตกลงกันทำงานวันที่ 31 มีนาคม 2566 เป็นวันทำงานวันสุดท้ายของลูกจ้างแผนกแบตเตอรี่ฯ จำนวน 130 คน ซึ่งเป็นการจากกันด้วยความเข้าใจ นายจ้างได้จัดงานเลี้ยงขอบคุณลูกจ้างกลุ่มดังกล่าว 

 

ล่าสุด ได้สั่งการให้ หน่วยงานในสังกัดร่วมกันชี้แจงสิทธิ หน้าที่และสิทธิประโยชน์แก่นายจ้างและลูกจ้างตามภารกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การให้คำปรึกษาข้อกฎหมาย สิทธิประโยชน์แก่ลูกจ้าง การใช้สิทธิประกันการว่างงาน การหาตำแหน่งงานว่างรองรับ การฝึกทักษะทางด้านอาชีพตามความต้องการ และการขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากกองทุนประกันสังคม เป็นต้น

 

พนักงานตรวจแรงงาน สสค.สมุทรปราการ ได้ตรวจสอบสิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้างพึงได้รับตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ทราบว่าลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด/เงินค่าขอบคุณพิเศษตามอายุงาน ต่ำสุด 2 เดือน และสูงสุด 6 เดือน/ค่าสูงอายุ คิดอายุตัว 40 ปีขึ้นไป ต่ำสุด 2 เดือน และสูงสุด 6 เดือน