บลจ.กสิกรไทยเผยตลาดการเงินผันผวนขึ้นหลัง Brexit
Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่
บลจ.กสิกรไทยเผย ตลาดการเงินผันผวนขึ้น หลัง Brexit แนะหลีกเลี่ยงเข้าลงทุนหุ้นยุโรป ส่วนหุ้นไทยและเอเชียยังน่าสนใจ มองเป็นโอกาสเข้าลงทุนในระยะยาว
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยถึงผลกระทบต่อสถานการณ์การลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ภายหลังผลการทำประชามติที่ฝ่ายสนับสนุนให้สหราชอาณาจักรแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) เอาชนะด้วยคะแนนโหวต 51.8% จากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างปรับตัวติดลบ โดยตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงกว่า 7% ขณะที่ตลาดหุ้นอังกฤษปิดตลาดติดลบประมาณ 3% ส่วนตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเป็นส่วนใหญ่ระหว่าง 1-3% โดยเฉพาะตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลงแรงสุดเกือบ 8% เนื่องจากมีแรงกดดันของเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากนักลงทุนหันเข้ามาถือเงินเยนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ทำให้กระทบต่อผลกำไรของหุ้นขนาดใหญ่ที่เน้นการส่งออก ขณะที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นเกือบ 5% และราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และไทยปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนหันเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นในฐานะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
มุมมองของบลจ.กสิกรไทย ต่อผลกระทบหลังเหตุการณ์ Brexit นายนาวินกล่าวว่า ตลาดการเงินและการลงทุนทั่วโลกจะมีความผันผวนเพิ่มสูงขึ้น และผลกระทบจะเกิดขึ้นโดยตรงต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมของอังกฤษและยุโรป โดยนักวิเคราะห์ได้ปรับลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอังกฤษเหลือที่ 0-1% และปรับลดของสหภาพยุโรปเหลือที่ 1.2-1.5% อย่างไรก็ตามมองว่าผลกระทบไม่น่าจะถึงการทำให้อังกฤษและยุโรปเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ค่าเงินปอนด์และยูโรที่มีแนวโน้มอ่อนค่าจะส่งผลบวกต่อบริษัทขนาดใหญ่ทั้งในอังกฤษและยุโรปเนื่องจากทั้งคู่มีสัดส่วนการส่งออกไปนอกภูมิภาคยุโรปรวมกันถึง 40-50% แม้ว่าภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้อังกฤษและยุโรปต้องระมัดระวังการใช้จ่ายเพื่อรักษาความสามารถในการชำระคืนหนี้ ทั้งนี้ล่าสุด ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ได้ออกแถลงการณ์ว่าพร้อมอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเพื่อพยุงเศรษฐกิจในภาวะเปราะบางนี้
“ปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต้องติดตามต่อเนื่องคือ ความเสี่ยงในภาคการเงินของอังกฤษ เนื่องจากประเทศอังกฤษถือเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของยุโรป และอาจมีแนวโน้มที่สถาบันการเงินใหญ่ๆ ในอังกฤษจะย้ายสำนักงานใหญ่กลับไปในประเทศต่างๆ ของสหภาพยุโรป นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านการเมือง อาทิ กรณีของสก็อตแลนด์ที่อาจจะทำประชามติขอแยกตัวจากสหราชอาณาจักรด้วย และยังมีประเทศอื่นในสหภาพยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ที่อาจขอทำประชามติออกจากสหภาพยุโรปเช่นกัน ขณะที่ผลกระทบของ Brexit อาจทำให้โอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้มีน้อยลง ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผู้ลงทุนควรติดตาม เนื่องจากอาจมีผลกระทบต่อสถานการณ์การลงทุนด้วย” นายนาวินกล่าว
ด้านการคาดการณ์ถึงผลกระทบต่อการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ คาดว่าตลาดหุ้นในภาพรวมอาจปรับตัวลดลงในระยะสั้นเนื่องจากนักลงทุนไม่ได้มีการคาดการณ์ผลประชามติว่าจะมีมติ BREXIT โดยเฉพาะตลาดหุ้นอังกฤษและยุโรปที่คาดว่าจะมีความผันผวนในระยะกลางไปประมาณ 1-2 ปี จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและยังมีความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวลงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเนื่องจากมีสัดส่วนการค้ากับอังกฤษในระดับที่สูง ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีแนวโน้มปรับตัวลงเนื่องจากค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นซึ่งจะกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน
ส่วนตลาดหุ้นเกิดใหม่โดยรวม มีความเสี่ยงจากเงินทุนไหลออกที่เพิ่มมากขึ้นจากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ทั้งนี้จะต้องพิจารณาพื้นฐานทางเศรษฐกิจเป็นรายประเทศไป โดยตลาดหุ้นเอเชียคาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าในภูมิภาคอื่น เนื่องจากมีการค้ากับกลุ่มประเทศยุโรปและอังกฤษน้อยกว่า จึงยังมีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนในระยะยาวด้วยมุมมองของระดับราคาที่ไม่แพงนัก ขณะที่ตลาดหุ้นไทย ไม่น่าจะปรับตัวลงมากนักเนื่องจากเศรษฐกิจมีความเกี่ยวข้องกับยุโรปและอังกฤษค่อนข้างน้อย ทำให้ผลกระทบที่ได้รับน้อยกว่า
นายนาวิน กล่าวต่อไปว่า สำหรับตลาดตราสารหนี้ จะได้รับผลบวกจากการที่นักลงทุนหันเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำมากขึ้น รวมถึงการชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในปีนี้ และอัตราดอกเบี้ยของไทยที่คาดว่าจะยังทรงตัวไปจนถึงสิ้นปีนี้ ด้านอัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินปอนด์และยูโรมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ส่วนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯและค่าเงินเยนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเพราะถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ด้านสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นกัน ในระยะสั้นจะได้รับผลบวกจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ในระยะยาวอาจจะถูกกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่แข็งค่า ทำให้มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวสูงขึ้นได้ไม่มาก ขณะที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากการคาดการณ์การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจอังกฤษและยุโรป
สำหรับคำแนะนำการลงทุน เนื่องจากความผันผวนจะยังมีต่อเนื่องจากปัจจัยใหม่ๆ ที่เข้ามากระทบ บลจ.กสิกรไทยจึงแนะนำให้นักลงทุนที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงในระยะสั้นช่วง 3 -6 เดือน อาจโยกการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างกองทุนตลาดเงิน ตราสารหนี้ หรือกองทุนผสม ส่วนนักลงทุนที่สามารถยอมรับความผันผวนได้ในระยะสั้น อาจใช้จังหวะที่ตลาดปรับตัวลงเป็นโอกาสเข้าสะสมเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยและเอเชียยังสามารถเข้าลงทุนได้เนื่องจากผลกระทบมีจำกัด ส่วนตลาดหุ้นยุโรป เนื่องจากความเสี่ยงที่น่าจะมีมากขึ้นต่อเนื่องไปอีกในช่วง 1 -2 ปี จากปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเข้าลงทุน