เอกชนแนะ “ผู้ประกอบการไทย” เร่งปรับตัว แม้สหรัฐฯ เคาะภาษี 19%

01 ส.ค. 2568 | 11:44 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ส.ค. 2568 | 11:57 น.

ภาคเอกชนแนะผู้ประกอบการไทย ปรับโครงสร้างการผลิต-ขยายตลาดใหม่ ในระยะ 2-3 เดือนนับจากนี้ มองผลกระทบภาษีสหรัฐฯ คือศึกหนักทำเศรษฐกิจโลกและกำลังซื้อหดตัว

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีกับประเทศไทยจาก 36% ลดลงเหลือ 19% ถือว่าสร้างความโล่งใจในระดับหนึ่งให้กับภาคธุรกิจไทย และการเจรจาของ "ทีมไทยแลนด์" ถือว่าประสบความสำเร็จ ทำให้ภาษีไม่สูงอย่างที่คาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก

ในภาพรวมระยะสั้นจะเป็นผลบวกสำหรับประเทศไทย เพราะจะยังคงแข่งขันได้ แต่ในระยะยาวและในบริบทเศรษฐกิจโลก ถือเป็นผลกระทบเชิงลบที่นำไปสู่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจและการลดลงของอำนาจการจับจ่ายของผู้บริโภค

“ตอนนี้ประเทศไทยเรายังคงสามารถแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งที่ผลิตสินค้าคล้ายคลึงกัน แต่การที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีทุกประเทศทั่วโลกถือว่าเป็นเชิงลบในเรื่องของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของทั่วโลก อำนาจการจับจ่ายของประชาชนจะลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกของไทยในภาพรวม”

ขณะเดียวกัน ผลกระทบที่จะได้เห็นเร็วที่สุดสำหรับประเทศไทยหลังจากนี้คือ การชะลอตัวสั่งซื้อสินค้าใหม่ เพราะคู่ค้าซื้อกักตุ้นไปตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา แม้ตอนนี้สหรัฐฯ ยังขยายระยะเวลาให้สินค้าที่ลงเรือไปแล้วหรืออยู่ระหว่างขนส่งยังคงภาษีที่ 10% ก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2568

นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า ผู้ประกอบการต้องหันมาใช้วัตถุดิบในประเทศมากขึ้น มีความชัดเจนเรื่องการผลิตสินค้าในประเทศ รวมถึงทำความเข้าใจในเรื่องสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ เพราะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับภาษีใหม่ และจะต้องเร่งปรับตัวให้ได้ในระยะเวลา 2-3 เดือนนับจากนี้

เพราะความท้าทายผู้ประกอบการไทยนับจากนี้ คือการรับศึกหนัก 2 ด้าน ทั้งเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและกำลังซื้อที่ลดลง สิ่งสำคัญอีกอย่างคือต้องกระจายตลาด ไปยังประเทศอื่นๆ เพื่อทดแทนการชะลอตัวในตลาดสหรัฐฯ และพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตด้วยนวัตกรรมใหม่ ตลอดจนสร้างความแตกต่างของสินค้าให้มากขึ้น รวมถึงการลดต้นทุนลงเพื่อสามารถกับแข่งขันกับประเทศคู่แข่งที่ผลิตสินค้าราคาถูกได้