วันนี้ (9 ก.ค. 2568) นายณพ ณรงค์เดช นักธุรกิจชื่อดัง แถลงข่าวกรณี “ตุลาการระดับสูง 2 คนตกเป็นข่าวพัวพันสินบนร้อยโล” (100 ล้านบาท) โดยตุลาการทั้งสองรายมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีความข้อพิพาทในครอบครัวณรงค์เดช ส่งผลให้คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) มีมติตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาล และรองอธิบดีในศาลแห่งหนึ่ง เนื่องจากถูกร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้คู่ความ
ทั้งนี้ นายณพ กล่าวว่า ตนเองตัดสินใจออกมาพูดเพราะมีจดหมายฉบับหนึ่งพาดพิงถึงตนในทางเสื่อมเสีย และต้องการสร้างความกระจ่างให้สังคมได้รับทราบข้อเท็จจริงจากฝั่งของตน
สำหรับเรื่อง 'ร้อยโล' ตนเองไม่เคยทราบมาก่อน แต่มาจากหนังสือที่อดีตรองอธิบดีฯ ที่ถูกร้องเรียนส่งเข้าไปในสำนวนของ ก.ต. หลังจากถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ว่าได้รับข้อเสนอจากอธิบดีฯ ของศาลแห่งนั้นในเวลานั้น ซึ่งยังปรากฏหลักฐานว่าอธิบดีท่านนั้นมีการเข้าออกบ้านของคู่กรณีหลายครั้ง โดยเงินร้อยโลในหนังสือของรองอธิบดีฯ ได้ระบุวันเวลาและสถานที่ที่ชัดเจน อยู่ในช่วงเดือน ส.ค. 2565
ขณะที่เงิน 100 ล้านบาท ที่โจทก์นำมาวางเป็นเงินประกันศาล คือวันที่ 26 ก.ค. 2566 ซึ่งจะเห็นได้ว่า 'เงินร้อยโล' กับ 'เงินร้อยล้าน' เป็นคนละวัน คนละเดือน คนละปี โดยข้อความในหนังสือของอดีตรองอธิบดีฯ ทำให้ทราบว่ามีการเสนอสินบนร้อยโล ซึ่งตนเองได้รับทราบจากสื่อเช่นเดียวกัน เพราะเรื่องที่ฝ่ายตนเองร้องเรียนไปไม่เกี่ยวกับเงินร้อยกิโล และตนเองก็ไม่ทราบเรื่องนี้ ทราบพร้อมสื่อมวลชน
“ไม่เคยทราบเรื่อง "ร้อยโล" มาก่อน และเพิ่งมารับทราบข้อมูลพร้อมกับสื่อมวลชน”
นายณพได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างว่า เงิน "ร้อยโล" ที่ถูกกล่าวอ้างในเดือนสิงหาคม 2565 เป็นคนละส่วนกับเงิน 100 ล้านบาท ที่ฝ่ายโจทก์นำมาวางเป็นเงินประกันต่อศาลในวันที่ 26 กรกฎาคม 2566 "จะเห็นได้ว่า 'เงินร้อยโล' กับ 'เงินร้อยล้าน' เป็นคนละวัน คนละเดือน คนละปี
“หนังสือของอดีตรองอธิบดีฯ ยังได้ยัดเยียดความผิดที่น่ารังเกียจนี้ให้กับผม ว่าผมเป็นผู้เสนอให้มีการให้สินบนเพื่อจะขอปลดคำสั่งอายัดเงินปันผลหุ้น ทั้งที่ผมเป็นผู้ร้องเรียนและเป็นผู้ชนะคดี"
ทั้งนี้ได้เดินทางไปยื่นเรื่องร้องทุกข์กับกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) แล้ว เพื่อให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาตัวการที่แท้จริงเบื้องหลังเรื่อง "ร้อยโล"
"ตลอดระยะเวลาเกือบ 8 ปีที่ผ่านมา ผมต้องตกเป็นจำเลยทั้งในคดีแพ่ง และคดีอาญาหลายคดี ก็ได้ใช้ความจริงและข้อเท็จจริงในการต่อสู้คดี พิสูจน์ความถูกต้องตามระบบยุติธรรมมาโดยตลอด ผมยังเชื่อมั่นในกระบวนการพิจารณา และไม่อยากให้ระบบยุติธรรมอันศักดิ์สิทธิ์นี้ต้องแปดเปื้อนเพราะคนเพียงบางกลุ่มเท่านั้น ผมหวังว่าเหตุการณ์เหล่านี้ จะไม่เกิดขึ้นกับประชาชนคนอื่นๆ อีก และอยากให้ระบบยุติธรรมของบ้านเราเป็นที่พึ่งของประชาชนคนไทยต่อไป"
นายณพ กล่าวว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2565 ตนเองได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมกับ ก.ต. เกี่ยวกับความไม่เป็นธรรมในคดีที่เกิดขึ้นในศาลแห่งหนึ่ง ซึ่งมี 2 คดี คดีแรกโจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์คืน และมีการขออายัดเงินปันผลแบบฉุกเฉิน ซึ่งศาลมีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราวตั้งแต่เดือน ส.ค. 2563 ต่อมาศาลอุทธรณ์ ได้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวไปเมื่อ วันที่ 11 พ.ค. 2565
ต่อมาในวันที่ 19 พ.ค. 2565 ในระหว่างที่ตนเองดำเนินการขอรับเงินปันผล ได้มีการยื่นฟ้องในประเด็นเดียวกันว่าผิดสัญญาและเรียกทรัพย์คืน เพียงแต่เปลี่ยนตัวโจทก์เป็นบุคคลอื่นในกลุ่มเดียวกัน และศาลเดิมก็ได้พิจารณา และมีคำสั่งอายัดเงินปันผลทันทีอีกครั้งและมีผลมาจนถึงปัจจุบัน ทั้ง ๆ ที่ศาลได้พิพากษาให้ตนเองชนะคดีไปแล้วตั้งแต่ 20 ก.ค. 2566 แต่คำสั่งอายัดเงินปันผลยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งมาถึงวันนี้เป็นเวลากว่าสองปี
ปัจจุบันเงินปันผลที่ถูกอายัดมีมูลค่ากว่า 3,700 ล้านบาท ซึ่งถ้านับตั้งแต่คดีแรก เงินก้อนนี้ถูกอายัดตั้งแต่ปี 2563 คำนวณดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากเงินปันผลนี้ประมาณ 450 ล้านบาท ซึ่งฝ่ายตนเองเป็นผู้แบกรับภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นแต่เพียงฝ่ายเดียว และได้รับผลกระทบทั้งทางธุรกิจและครอบครัวของตนเอง
นายณพยัง กล่าวว่า ฝ่ายโจทก์ยื่นขอคุ้มครองหุ้นเพียง 31 ล้านหุ้น แต่ศาลกลับมีคำสั่งให้อายัดหุ้นทั้งหมด 41 ล้านหุ้น ซึ่งเกินกว่าคำขอของโจทก์ จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ นำมาสู่การยื่นร้องเรียนต่อ ก.ต. เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 จนกระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2568 นายณพได้รับทราบข่าวจากสื่อมวลชนว่า
ที่ประชุม ก.ต. มีมติตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงต่อ 2 ตุลาการ อดีตผู้บริหารศาลระดับอธิบดีและรองอธิบดีศาล และต่อมาได้มีคำสั่งพักงานอดีตอธิบดีศาลคนดังกล่าวด้วย