เปิดหนังสือ คิง เพาเวอร์ ขอหารือยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรี 3 สนามบิน

14 มิ.ย. 2568 | 00:30 น.
อัปเดตล่าสุด :14 มิ.ย. 2568 | 02:07 น.

เปิดหนังสือ คิง เพาเวอร์ ส่งหนังสือ AOT ขอหารือยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรี ภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่ อ้างผลกระทบโควิด-19 นโยบายปิดร้านขาเข้า ลดนักท่องเที่ยวจีน เสนอชำระค่าตอบแทน 20%

กรณีบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ส่งหนังสือถึง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ขอหารือแนวทางยกเลิกสัญญาดำเนินการร้านดิวตี้ฟรีใน 3 ท่าอากาศยาน คือ ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่

บริษัทระบุเหตุผลหลัก 7 ประการ ได้แก่ การหยุดดำเนินการร้านขาเข้าตามนโยบายกรมศุลกากรตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2567 ผลกระทบจากโควิด-19 การลดลงของนักท่องเที่ยวชาวจีน การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีไวน์ การขอคืนพื้นที่จาก AOT สงครามการค้าโลก และปัญหาความปลอดภัยในประเทศ

บริษัทเสนอชำระค่าตอบแทนร้อยละ 20 ของยอดขายแทนอัตราเดิม และขอเวลา 45 วันเพื่อหาข้อยุติ พร้อมระบุว่ามีพนักงานกว่า 4,000 คน และคู่ค้ากว่า 1,000 ราย

สัญญาดังกล่าวมีผลตั้งแต่ 28 กันยายน 2563 ถึง 31 มีนาคม 2576

ข้อเสนอของบริษัทต่อ AOT อ่านได้ในเอกสารฉบับเต็ม โดย นายอภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา กรรมการผู้มีอำนาจ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จํากัด มีหนังสือถึง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) หรือ AOT ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เรื่องขอหารือแนวทางในการพิจารณายกเลิกสัญญาอนุญาตให้ ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ถึงกรรมการผู้ อำนวยการใหญ่ ของ AOT อ้างถึงสัญญาอนุญาตใประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต, เชียงใหม่ และ หาดใหญ่ 3 ฉบับ คือ

สัญญาเลขที่ AOT DF-1-02/2562 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2562 และบันทึกข้อตกลงแก้ไขเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาอนุญาตให้ ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต, เชียงใหม่ และหาดใหญ่

สัญญาเลขที่ AOT DF-1-02/2562 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2562 แก้ไขครั้งที่ 1 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 และบันทึกข้อดกลงแก้ไขเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการ จําหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต, เชียงใหม่ และหาดใหญ่

สัญญาเลขที่ AOT DF-1-02/2562 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2562 แก้ไขครั้งที่ 2 ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2565

หนังสือของบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ระบุว่า ตามสัญญาฯ และบันทึกฯ ที่อ้างถึง บริษัท คิง เพาเวอร์ คิวตี้ฟรี จํากัด (บริษัทฯ) ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้า ปลอดอากร ณ ท่าอากากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ จาก AOT นับตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2563 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2576 นั้น

บริษัทฯ ขอเรียนว่า การได้มาซึ่งสัญญานั้น มาจากการเข้าร่วมการยื่นข้อเสนอทางเทคนิคและข้อเสนอค่าตอบแทนตาม เอกสารการขึ้นข้อเสนอการดำเนินงานเลขที่ 5/2562 เรื่องงานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่

โดยบริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกจาก AOTให้ประกอบกิจการ จำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ซึ่งค่าตอบแทนที่ AOT เรียกเก็บอยู่นั้นสูงกว่าค่าตอบแทนที่บริษัทฯ เสนอในการยื่นประมูล

ต่อมา เมื่อเกิดสถานการณ์ Covid-19 AOT ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการคำนวณค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำเป็นค่าผลประโยชน์ ตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสาร (Sharing Per Head) จํานวน 127.30 บาท โดยเรียกเก็บจากผู้โดยสารขาออก, ผู้โดยสารผ่าน และผู้โดยสารขาเข้า

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสถานการณ์ Covid-19 จะคลี่คลายลง แต่ก็ยังเกิดเหตุการณ์ที่บริษัทฯ ไม่คาดคิด และก่อให้ เกิดผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลอดอากรของบริษัทฯอันเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ว่าจะเป็น เหตุการณ์สงครามในหลายภูมิภาคที่ยึดเชื้อ และยังไม่ยุติ, เหตุการณ์สงครามทางการค้า และการกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะการใช้กำแพงภาษีมาเป็นเครื่องมือ, เหตุการณ์การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ทําให้อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศซะลอตัวลง หรือ เหตุการณ์ภายในประเทศไทยที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวชาวจีน และทำให้จำนวนผู้โดยสารชาวจีน ซึ่งเป็นผู้โดยสารที่มีกำลังซื้อสูงสุดลดน้อยลงเป็นจำนวนมาก จนเป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาลต้องหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นหลักที่ต้องได้รับการแก้ไข

เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ต่างส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการบริโภค, กำาลังซื้อ และทำให้ผู้บริโภคเลือกที่จะประหยัด และจับจ่ายซื้อสินค้าน้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น และส่งผลทำให้ยอดขายโดยเฉลี่ยต่อผู้โดยสาร (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผู้บริโภคทั่วโลก) ลดลงทั้งในทางตรง (การที่ผู้โดยสารทั่วไปไม่มั่นใจในการบริโภคและเลือกที่จะซื้อสินค้าน้อยลงไม่ขยายตัวตามที่ควรจะเป็น) และทางอ้อม (การที่สัดส่วนผู้ โดยสารขาวจีนที่มีกำลังซื้อสูงสุดลดลงเป็นจำนวนมาก)

ต่อมาเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2567 กรมศุลกากรมีหนังสือถึงบริษัทฯ เพื่อขอความร่วมร่วมมือจากบริษัทฯ ให้หยุดดำเนินการร้านค้าปลอดอากรขาเข้า ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป โดยระบุเหตุผลว่า เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของภาครัฐ ซึ่ง บริษัทฯ จําเป็นต้องให้ความร่วมมือ และปฏิบัติตามโดยไม่มีทางเลือกอื่นใด

การที่จะต้องหยุดประกอบการร้านค้าปลอดอากรขาเข้าดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อการประกอบการของบริษัทฯ และแตกต่างจากเจตนาของเงื่อนไขการประมูลโครงการดังกล่าว รวมถึงไม่สอดคล้องกับสิทธิในการประกอบการตามสัญญาอย่างมีนัยสำคัญ

ในขณะที่บริษัทฯ ได้รับผลกระทบต่อการประกอบการอันเป็นเหตุสุดวิสัย และไม่ได้เกิดจากการกระทำ และความผิดของบริษัทฯ แต่ประการใดเลย นอกเหนือจากที่ AOT ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือต่อบริษัทฯ จากผลกระทบดังกล่าวแต่ประการใดแล้ว AOT กลับใช้วิธีค่านวณจํานวนเงินค่าตอบแทนที่ลดลงจากการหายไปของร้านค้าปลอดอากรขาเข้าอย่างไม่เป็นธรรม โดยการใช้วิธีค่านวณค่าตอบแทนที่ลดลงจากสัดส่วนของจํานวนพื้นที่ของร้านค้าปลอดอากรขาเข้านั้น (AOT เป็นผู้กำหนดจํานวนพื้นที่ร้านค้าปลอดอากรขาเข้าในTOR)

ทั้งที่ ก่อนหน้านี้ AOT ใช้วิธีการเรียกเก็บค่าตอบแทนโดยการเก็บค่าตอบแทนแทนเฉลื่อต่อผู้โดยสาร ไม่ว่าจะเป็นผู้โดยสารขาออก ผู้โดยสารผ่าน และผู้ใดยสารขาเข้าในอัตราเท่า ๆ กัน

ดังนั้น เมื่อจำเป็นต้องยุติการประกอบการของร้านค้าปลอดอากรขาเข้า AOT จึงควรนำค่าตอบแทนเฉลี่ยต่อผู้โดยสารในอัตราที่เคยเรียกเก็บก่อนหน้านี้ (127.30 บาท ต่อผู้โดยสารรวม) มาคำนวณจากจำนวนผู้โดยสารที่อยู่ในพื้นที่ที่ยังสามารถประกอบกิจการได้ อันได้แก่ ผู้โดยสารขาออกและผู้โดยสารผ่านเท่านั้น

ดังนั้น การที่ AOT ใช้แนวทางในการคำนวณค่าตอบแทนที่ปรับลดลงจากสัดส่วนของพื้นที่ของร้านค้าปลอดอากรขาเข้าเพียงอย่างเดียว จึงเป็นการพิจารณาที่ไม่เป็นธรรม และคำนึงถึงประโยชน์ของ AOTเพียงฝ่ายเดียว และเป็นการเอาปรียบผู้ประกอบการเป็นอย่างยิ่ง

บริษัทฯขอเรียนว่า นับตั้งแต่บริษัทฯได้เริ่มประกอบกิจการตามสัญญาเป็นต้นมาได้เกิดสถานการณ์ต่างๆ มากมาย ซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยไม่ได้เกิดจากการกระทำและความผิดของบริษัทฯแต่ประการใดเลย เหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลทั้งในทางตรง และทางอ้อม เป็นผลให้บริษัทฯไม่สามารถประกอบการและปฏิบัติตามสัญญาที่ได้ตกลงไว้ อีกทั้งยังส่งผลให้บริษัทฯต้องประสบกับภาวะการขาดทุนมาโดยตลอด โดยจําแนกเนกเหตุการณ์ต่างๆ เป็นข้อๆ ได้ดังนี้

1. การหยุดดำเนินการร้านค้าปลอดอากรขาเข้า จากนโยบายภาครัฐ

ความจําเป็นในการให้ความร่วมมือกับกรมศุลกากร เพื่อให้เป็นตามนโยบายของภาครัฐ โดยการหยุดดำาเนินการร้านค้าปลอดอากรขาเข้า ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 เป็นต้นมา เป็นเหตุให้บริษัทฯได้รับผลกระทบต่อการประกอบการ อันมิได้มาจากการกระทำ และความผิดของบริษัทฯ

นอกจากนี้บริษัทฯยังได้รับผลกระทบจากวิธีคำนวนวณจํานวนเงินค่าตอบแทนที่ลดลงจากการหยุดประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรขาเข้าอย่างไม่เป็นธรรม เนื่องจาก AOT ค่านวณค่าตอบแทน โดยการปรับค่าตอบแทนลงตามสัดส่วนพื้นที่ร้านค้าปลอดอากรขาเข้าที่หยุดดำเนินการ ซึ่งแตกต่างจากการเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสารก่อนหน้านี้ ที่ใช้วิธีจัดเก็บในอัตรา 127.30 บาท ต่อผู้โดยสารขาออก ผู้โดยสารผ่าน และผู้โดยสารขาเข้าในอัตราเท่า ๆ กัน

ดังนั้น เมื่อการประกอบการของร้านค้าปลอดอากรขาเข้าจำเป็นต้องยุติลง AOT ควรจัดเก็บค่าตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสารใน อัตราเดิม โดยคำนวณจากจำนวนผู้โดยสารขาออก และผู้โดยสารสารผ่าน ซึ่งเป็นผู้โดยสารที่อยู่ภายในพื้นที่ที่บริษัทฯยังสามารถประกอบกิจการได้เท่านั้น

บริษัทฯขอเรียนว่าความจําเป็นต้องหยุดประกอบการร้านค้าปลอดอากรขาเข้านั้น มิได้เกิดจากการกระทำ และความผิดของ บริษัทฯอีกทั้งยังส่งผลทำให้การประกอบการแตกต่างจากเจตนาของ TOR และสัญญาฯ อย่างมีนัยสำคัญ บริษัทฯคือผู้ได้รับผลกระทบ และ AOT ในฐานะคู่ค้าและคู่สัญญามาเป็นเวลานาน และในฐานะที่ AOT เป็นเจ้าของสถานที่ AOT ควร เข้ามาให้ความช่วยเหลือเยียวยาเพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าว เพื่อที่บริษัทฯสามารถประคองธุรกิจได้ และย่อมส่งผลดีต่อ AOT ในคราวเดียวกัน

แต่ AOT กลับใช้วิธีคำนวณค่าตอบแทนที่ลดลงตามสัดส่วนของขนาดพื้นที่ร้านค้าปลอดอากรขาเข้าเพียงอย่างเดียว กระทบทางธุรกิจ, ยอดขายที่ลดลง เมื่อครั้งเข้าร่วมประมูลโครงการฯ โดยมิได้คำนึงถึงผลและผลกระทบต่อสัญญาและการประกอบการที่มิได้เป็นไปตามความตั้งใจของบริษัทฯและมิได้เป็นไปตามเจตนาของสัญญาที่ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามไว้ร่วมกัน

2. การลดภาษีสินค้าประเภทไวน์อันส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่ายภายในร้านค้าปลอดอากร

ตามที่มีประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากร ตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 7) ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 โดยยกเว้นอากรสินค้าไวน์ที่ระบุ ในประกาศฯ (จากเดิมที่อัตราอากรอยู่ที่ร้อยละ 60) ส่งผลกระทบต่อยอดจําหน่ายสินค้าประเภทนี้ เนื่องจากความแตกต่างของราคาจําหน่ายของไวน์ในร้านค้าปลอดอากร และในร้านค้าภายในประเทศลดน้อยลงมาก จนมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ทําให้ผู้โดยสารไม่เห็นความจําเป็นที่จะต้องซื้อสินค้าประเภทไวน์จากร้านค้าปลอดอากร

รวมถึงก่อให้เกิดความไม่มั่นใจต่อราคาจําหน่ายของสินค้าปลอดอากรในประเกทอื่นๆ ตามมา และส่งผลต่อการดัดสินใจในการซื้อสินค้าปลอดอากร โดยการตรวจสอบราคาจําหน่ายกับสินค้าภายในประเทศ เพื่อให้เกิดความมั่นใจก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ

ผลกระทบดังกล่าวเกิดขึ้นโดยมิได้เกิดจากการกระทำ หรือ ความผิดของบริษัทฯแต่ประการใด และ AOT ก็มิได้เข้ามาให้ ความช่วยเหลือแก่บริษัทฯ เพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าวเช่นเคย

3. การขอคืนพื้นที่ประกอบกิจการของ AOT

การที่ AOT ขอคืนพื้นที่ประกอบกิจการบางส่วนของบริษัทฯ เนื้อที่ประมาณ 491.220 คารางเมตร นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป ซึ่ง AOT ใช้วิธีค่านวณจํานวนเงินค่าตอบแทนที่ต้องชำระให้แก่ AOT ที่ปรับลดลงโดยการคำนวณตามสัดส่วนของจํานวนพื้นพื้นที่ของร้านค้าปลอดอากรที่ AOT ขอคืน โดยมิได้คำนึงถึงผลกระทบต่อการประกอบการของหรือผลกระทบ ต่อยอดจําหน่ายสินค้าจากการที่พื้นที่จําหน่ายสินค้าลดลง ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าวมิได้เกิดจากการกระทํา หรือ ความผิดของบริษัทฯแต่อย่างใด

ดังนั้น การค่านวณค่าตอบแทนที่ค่านึงถึงถึงถึงเฉพาะจํานวนพื้นที่ทีลคลง โดยไม่ได้มองถึงยอดรายได้ที่ลดลงตามพื้นที่ที่หายไป จึงไม่มีความเป็นธรรมต่อบริษัทฯ

ทั้งนี้ บริษัทฯขอเรียนว่าถึงแม้ AOT จะเห็นว่าการขอคืนพื้นที่ดังกล่าวทำให้ต้นทุนค่าตอบแทนลดลงแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากการขอคืนพื้นพื้นที่ย่อมทำให้ยอดจําหน่ายของพื้นที่นั้นหายไป และเมื่อยอดจําหน่ายของพื้นที่นั้นหายไป ย่อมทำให้ยอดจําหน่ายโดยรวมลดลง ส่งผลให้ต้นทุนอื่นๆ จะมีอัตราต่อยอดจําหน่ายคงหลือสูงขึ้น และทำให้ผลประกอบการกลับย่ำแย่ลง แต่ AOT กลับพิจารณาเพียงมิติเดียว โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบด้านอื่นของบริษัทฯ ซึ่งมิติเดียวที่ AOT จารณานั้นคือมิติที่ต้องส่งผลกระทบต่อรายได้ของAOTน้อยที่สุด ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อบริษัทฯเลย

4. การขาดมาตรการเชิงรุกของภาครัฐในการบริหารจัดการความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวส่งผลให้การลดลงของนักท่องเที่ยวชาวจีน

จากสถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศจีน และนโยบายของรัฐบาลจีนที่ส่งเสริมให้ชาวจีนท่องเที่ยวภายในประเทศจีนเป็นหลัก ส่งผลให้ นักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งมีศักยภาพในการจับจ่ายใช้สอยสูงสุดลดลดน้อยลงอย่างมาก ซึ่งนอกจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจภายในประเทศจีนแล้ว ยังมีปัจจัยเรื่องการขาคความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัยของประเทศไทยที่เป็นเหตุให้นักท่องเที่ยวขาวจีนที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมีจํานวนลดลงอย่างมาก

ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์การลักพาตัวนักแสดงขาวจีน หรือเหตุการณ์อาชญากรรมทางไซเบอร์ หรือแก๊งส์ call center ที่มีอยู่หลายกลุ่ม

แม้ว่ารัฐบาลไทยจะออกมาตรการต่างๆ เพื่อสกัดปัญหานี้แล้วก็ตาม แต่ความมั่นใจของนักท่องเที่ยวชาวจีน ก็ยังไม่กลับมาท่องเที่ยวในประเทศไทยตามปกติที่เคยเป็นในปี 2562 สาเหตุเหล่านี้เป็นเหตุที่ยิ่งสร้างความตระหนกให้ชาวจีนรู้สึกขาดความเชื่อมั่นในประเทศไทย และไม่เลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่จะเดินทาง เป็นผลให้สัดส่วนผู้โดยสารชาวจีนที่มีกำลังซื้อสูงสุดลดน้อยลงเป็นจํานวนมาก และส่งผลให้ยอดขายเฉลี่ยต่อสู้โดยสารลดน้อยลง ทําให้ต้นทุนทุนค่าตอบแทนต่อผู้โดยสารอยู่ในอัตราที่สูงขึ้น จนบริษัทฯต้องประสบกาวะขาดทุนอย่างหนัก

ข้อเท็จจจริงที่ผู้โดยสารชาวจีนลดน้อยลง โดยเฉพาะน้อยลงกว่าปีที่ผ่านมา ถึงแม้ปีที่ผ่านมาผู้โดยสารชาวจีนมีจำนวนวนน้อย กว่าปี 2562 เป็นจำนวนมากก็ตาม และกระทบต่อผู้ประกอบการทุกรายนั้น AOT ทราบดี แต่จนถึงวันนี้ AOT ยังมิได้เข้ามา ดูแลหรือมีส่วนร่วมในการแบกรับผลกระทบร่วมกับผู้ประกอบการแต่ประการใดเลย ปล่อยให้ผู้ประกอบการแบกรับภาระและ ดิ้นรนด้วยคนเองอยู่ในปัจจุบัน

5. สถานการณ์ภายในประเทศไทยอันส่งผลทางลบต่อจำนวนนักท้องเที่ยวและจำนวนผู้โดยสาร

ตามที่ประเทศไทยกิดเหตุกรณ์ต่างๆ เช่น การย้ายฐานการผลิตของบริษัทฯต่างชาติ หรือการปิดตัวของบริษัทฯในหลายๆอุตสาหกรรม อันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจ, อาชญากรรมทางไซเบอร์ (แก๊งส์ call center) หรือการถล่มของตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน จากการเกิดแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งส่งผลให้ความเชื่อมั่นในประเทศลดลง

โดยนักท่องเที่ยวต่างก็ขาดความเชื่อมั่นในความปลอดภัยที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย จนเป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาลต้องหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นหลักที่ต้องได้รับการแก้ไข เนื่องจากเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ต่างส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย และทำให้จํานวนผู้โดยสารชะลอตัวและปรับลดลลงในบางสัญชาติ

นอกจากนี้ยังมีสถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศที่เป็นปัจจัยทำให้ค่าครองชีพในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งตัวและไม่เป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมท่องที่ยวของไทย ซึ่งเหล่านี้ได้เปลี่ยนมุมมองของนักท่องเที่ยวที่มีต่อประเทศไทยไปจากเดิม และส่งผลให้นักท่องเที่ยวย้ายฐานไปท่องเที่ยวประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น หรือ เวียดนาม ที่มีความปลอดภัย และค่าเงิน ค่าครองชีพที่จูงใจกว่า จนทําให้ประเทศไทยไม่ใช่จุดหมายปลายทางอันดับดับดันๆของนักท่องเที่ยวอีกต่อไป โดยเฉพาะของนักท่องเที่ยวชาวจีน

6. สถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 เป็นเหตุให้แต่ละประเทศมีมาตรการจํากัดการเดินทางเพื่อป้องกันหรือลดการแพร่ระบาด ของ Covid-19 จากมาตรการของประเทศต่างๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid-19 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจการท่องที่ยวของประเทศไทยเป็นอย่างมาก เป็นเหตุให้จํานวนผู้ใดยสารลดลง โดยเฉพาะผู้โดยสารชาวจีน ซึ่งเป็นผู้โดยสารที่มีกำลังซื้อสูงสูงสุดลดลงจาก ปี 2562 เป็นจํานวนมาก

ถึงแม้ภายหลังสถานการณ์ Covid-19 ได้คลี่คลายลง ก็เกิดการชะลอตัวทางศรษฐกิจ ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจับจ่ายใช้สอย โดยเลือกซื้อสินค้าและใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากยิ่งขึ้น จึงทําให้กระทบต่อกำลังซื้อโดยรวม และทําให้คุณภาพ และกำลังซื้อต่อหน่วยไม่เติบโตอย่างที่ควจะเป็น มิได้ลดลงเพียงในเชิงปริมาณของจํานวนผู้โดยสาร ซึ่งข้อเท็จจริงของสถานการณ์เหล่านี้ AOT ย่อมทราบดีและควรเข้ามาให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระพบให้แก่ผู้ประกอบการทุกๆ ราย ซึ่งเป็นคู่ค้า, คู่สัญญาของ AOT โดยเฉพาะความช่วยเหลือด้านค่าตอบแทน (ที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น) ที่ผู้ประกอบการทุกรายต้องแบกรับการะและชำระให้แก่ AOT

อีกทั้งยังเป็นดันทุนสูงสุดของผู้ประกอบการทุกราย และเป็นต้นทุนที่ทำให้ผู้ประกอบการประสบภาวะขาดทุน อันเนื่องมาจากค่าตอบเทนที่ ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่ AOT กลับนิ่งเฉยและคำนึงเพียงมิให้รายได้ของตนลดน้อยลง ปล่อยให้ผู้ประกอบการต้องดิ้นรนต่อสู้กับสถานการณ์ต่างๆ เหล่านั้นเองตามล่าพัง โดยเฉพาะนับแค่ AOTเริ่มบังคับใช้ค่าตอบแทนขั้นต่ำเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา

7. สถานการณ์สงครามและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

ภายหลังการเกิดการแพร่ระบาดของ Covid-19 ส่งผลให้สภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ซึ่งทุกประเทศต่างก็ได้รับผลกระทบดังกล่าว อีกทั้งยังเกิดสงครามทางการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ (สหรัฐอเมริกาและจีน) ที่มีอิทธิพลและความสําคัญต่อเศรษฐกิจโลก โดยทั้งสองประเทศมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 1 และ 2 ของโลก

ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยที่เชื่อมโยงกับตลาดและฐานการผลิตทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิดโดยตรง ทั้งนี้ ยังมีประเด็นที่ต้อง เฝ้าระวังที่อาจส่งผลกระทบในระยะยาว โดยยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าสงครามทางการค้าดังกล่าวจะสิ้นสุดอย่างไรและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ทำให้อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศชะลอตัวลง

สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จํานวนผู้โดยสาร และส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอย เป็นเหตุให้กำลังซื้อของผู้โดยสารถดถอยลง รวมถึงการเดินทางทั้งในประเทศและระหว่างประเทศลดลง ซึ่งส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่อย่างหลีกเลื่องไม่ได้

จากข้อเท็จจริง สถานการณ์และหตุการณ์ต่างๆ รวมถึงปัจจัยต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น บริษัทฯขอเรียนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดข้างดันนั้น AOT ทราบดีในทุกๆ กรณีว่าเป็นเหตุสุดวิสัย และโดยเฉพาะมิได้เกิดจากการกระทําหรือความผิดของบริษัทฯแต่ประการใด รวมถึง AOT ทราบดีว่าเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้น ส่งผลกระทบต่อยอดจําหน่ายและการประกอบการของบริษัทฯ และส่งผลทำให้ค่าตอบแทนที่บริษัทฯต้องชำระให้แก่ AOT อยู่ในเกณฑ์ที่สูงผิดปกปกดีกว่าที่ควรจะเป็น และที่ได้เสนอไว้ ทำให้การประกอบ การต้องประสบปัญหาขาดทุน

โดยที่บริษัทฯได้พยายามประคับประคองอย่างเต็มความสามารถเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อคู่ค้ากว่า 1,000 ราย ไม่นับรวมถึงพนักงานกว่า 4,000 อัตรา และการจ้างงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ในฐานะที่ AOT เป็นเจ้าของสถานที่, เป็นผู้มอบสัญญาให้ผู้ประกอบการ และเป็นคู่สัญญานั้น หาก AOT เพียงมองว่าระหว่าง AOT และผู้ประกอบการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันแล้วนั้น AOT ควรที่จะให้ความเป็นธรรมแก่บริษัทฯเพื่อบรรเทาผลกระทบอันเกิดจากสถานการณ์ต่างๆ อันเป็นเหตุสุดวิสัยเหล่านั้น อีกทั้งที่มิได้เกิดจากการกระทําและความผิดของบริษัทฯแต่ประการใด ซึ่งหากพิจารณาตามสัญญาแล้วนั้น เหตุการณ์ต่างๆ ข้างต้น ทั้งคู่สัญญา (บริษัทฯคิง เพาเวอร์และ AOT) ควรต้องเจรจาร่วมกัน เพื่อให้เกิด แนวทางแก้ไขอันเป็นธรรมต่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย มิใช่สิ่งที่ AOT ควรกำหนดแนวทางแก้ไขโดยลำพังหรือเพียงเพื่อให้เกิดประโยชน์ หรือผลกระทบแก่ AOT น้อยที่สุด หรือเพียงเพื่อให้ AOT มีคำตอบต่อแนวทางแก้ไขดังกล่าวเท่านั้น ซึ่งหากพิจารณาตามเนื้อหาและข้อความที่ระบุไว้ในสัญญาเล้วจะพบว่าเหตุการณ์ต่างๆ ข้างต้นสอดคล้องและสามารถดำเนินการและร่วมหารือได้ตามเนื้อหาที่ระบุในข้อสัญญาอย่างตรงไปตรงมา อาทิเช่น ข้อความในข้อ 7.9 หน้า 25

ในกรณีที่เกิดหตุขัดข้อง หรือ มีเหตุว่าเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นเหตุให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถดำเนินการตามสัญญาได้ โดยไม่ได้มีสาเหตุมาจากความผิดจากคู่สัญญาฝ่ายใด คู่สัญญาจะเจรจาเพื่อหาทางแก้ไข ข้อความในข้อ 7.7 หน้า 25

ในกรณีที่ข้อกำหนดของสัญญาข้อใดข้อหนึ่งตกเป็นโมฆะ ไม่สมบูรณ์หรือใช้บังคับไม่ได้ตามกฎหมาย คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงให้ ข้อกำหนดอื่นยังมีผลบังคับกันได้ต่อไป อย่างไรก็ตาม คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะต้องดำเนินการเจรจาเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อสัญญาที่มีผลในทางพาณิชย์ ข้อความในข้อ 7.5 หน้า 25

ภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับ AOT การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญานี้ไม่อาจทําได้ เว้นแต่คู่ สัญญาทั้งสองฝ่ายได้ทำความตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร และให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา

จากรายละเอียดข้อความตามที่ระบุไว้ในสัญญาข้างต้น จะเห็นได้ว่า หากพิจารณาข้อความและเนื้อหาสัญญาซึ่งระบุให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่าย มาร่วมเจรจาหาข้อยุติที่เป็นธรรมร่วมกันแล้วนั้น การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากวิกฤตการณ์ต่างๆ ย่อมกระทำได้โดยทั้งสองฝ่าย ต้องเจรจาหาทางออกร่วมกัน มิใช่อาศัยเพียงการตัดสินใจของ AOTเพียงลำพังแต่ฝ่ายเดียว ดังเช่นที่ AOT ได้ปฏิบัติตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามบริษัทฯคิง เพาเวอร์ขอเรียนว่าที่ผ่านมาผลกระทบต่างๆ เป็นผลให้บริษัทฯประสบกับภาวะขาดทุนจากการแบกรับภาระอัตราค่าตอบแทนที่สูงผิดปกติและไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงของสถานการณ์ จนส่งผลให้บริษัทฯมีความจําเป็นที่ต้องเลื่อนชำระค่าภาระต่างๆ มาเป็นระยะๆ ซึ่งเหตุการณ์อันส่งผลกระทบเหล่านั้นเป็นเหตุสุดวิสัยอันมิได้เกิดจากการกระทําหรือความผิด จากบริษัทฯแต่ประการใดทั้งสิ้น

แต่ในทางกลับกัน AOT กลับพิจารณาและดำเนินการตามที่ AOT เห็นสมควรเพียงลำพัง และเป็นประโยชน์แก่ AOT เพียงฝ่ายเดียว โดยมิได้หารือบริษัทฯฯ เพื่อพาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมต่อทั้งสองฝ่าย หรือมิได้ค่านึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับบริษัทฯที่มีมากกว่าผลกระทบด้านค่าตอบแทน

ดังนั้น ด้วยเหตุแห่งผลกระทบต่างๆ ที่ยังไม่คลี่คลายในขณะนี้ และยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะยุติลงเมื่อไหร่ รวมถึงความไม่ มั่นใจในการให้ความเป็นธรรมต่อคู่สัญญาของ AOT บริษัทฯ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะร้องขอให้เกิดการหารือเพื่อหาแนวทางและข้อยุติอื่นๆ รวมถึงแนวทางในการพิจารณายกเลิกสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเกิด ท่ากากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ตามที่อ้างถึง เพื่อให้ข้อยุติกายใน 45 วัน

อนึ่ง เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อบริษัทฯ ในระหว่างการพิจารณาของ AOT บริษัทฯขอนำ ส่งค่าตอบแทนตามสัญญาประมูลในอัตราร้อยละ 20 ของยอดจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในแต่ละเดือน ซึ่งภายหลังสิ้นเดือนเมื่อทราบยอดจําหน่าย บริษัทฯ จะคำนวณค่าตอบแทนในอัตราร้อยละ 20 และชำระค่าตอบแทนดังกล่าวกายในวันสุดท้ายของเดือนถัดไปให้แก่ AOT

โดยเริ่มจากยอดจําหน่ายเดือนกรกฎาคม 2568 (เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการขยายระยะเวลาชำระเงินสำหรับค่าตอบแทนขั้นต่ำเดือนกันยายน 2567 ถึงเดือนมิถุนายน 2568) ซึ่งจะทราบยอดจําหน่ายภายหลังสิ้นเดือน กรกฎาคม 2568 และจะชำระค่าตอบแทนในอัตราร้อยละ 20 ให้แก่ AOT ภายในวันที่ 29 สิงหาคม 2566 ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯ ไม่ต้องชำระค่าตอบแทนขั้นต่ำของเดือนกรกฎาคม 2568 ซึ่งเดิมบริษัทฯ ต้องชำระให้แก่ AOT ภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 2563 และขอให้ไม่ถือเป็นการผิดนัดชำระ โดยขอให้แนวทางการนำส่งค่าตอบแทนข้างต้นมีผลต่อเนื่องไปจนกว่าจะได้ข้อยุติจากการเจรจา