ซีอีโอคิงเพาเวอร์ ยันยื่นหนังสือ AOT ขอเจรจายกเลิกสัญญา “ดิวตี้ฟรี” 3 สนามบิน

13 มิ.ย. 2568 | 08:21 น.
อัปเดตล่าสุด :13 มิ.ย. 2568 | 10:28 น.

“คิงเพาเวอร์” ยื่นหนังสือ AOT ขอเจรจายกเลิกสัญญา “ดิวตี้ฟรี” 3 สนามบิน ภูเก็ต-เชียงใหม่-หาดใหญ่ ด้าน ซีอีโอ “นิตินัย ศิริสมรรถการ” ยืนยันเรื่องจริง แต่ยื่นก่อนตนเข้ารับตำแหน่ง

กรณีมีกระแสข่าว บริษัท คิงเพาเวอร์ ยื่นหนังสือถึง ยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรีกับบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ใน 3 สนามบินหลักได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ นั้น 

ล่าสุด นายนิตินัย ศิริสมรรถการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิง เพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยกับฐานเศรษฐกิจว่า คิง เพาเวอร์ ได้ยื่นหนังสือขอเจรจาเพื่อยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรีกับ AOT ใน 3 สนามบิน ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ ให้ AOT พิจารณา เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ก่อนที่ตนจะเข้ามารับตำแหน่ง

ขณะที่ราคาหุ้น AOT ล่าสุด 13 มิ.ย. 2568 เวลา 15:20 น. ปรับลดลง 3 บาท อยู่ที่ 29.00 บาท หรือลดลง 9.38%

ทั้งนี้ AOT ทำสัญญากับ บริษัทบริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด สำหรับกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ สัญญาที่ ทอท.DF-1-02/2562 ลงวันที่ 4 ก.ค. 2562 มีอายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน ระหว่างวันที่ 28 กันยายน 2563 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2574 ผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ปีแรก 2,331 ล้านบาท 

 

ต่อมาแก้ไขสัญญา 2 ครั้ง คือวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 และวันที่ 26 สิงหาคม 2565 ล่าสุดปรับอายุสัญญาเป็นระหว่างวันที่ 28 กันยายน 2563 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2576

จากสถานการณ์โควิด-19 ทอท.ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการคำนวณค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ มาเป็นผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสาร (Sharing Per Head) จำนวน 127.30 บาท เรียกเก็บจากผู้โดยสารขาออก ผู้โดยสารผ่าน และผู้โดยสารขาเข้า แต่ผลกระทบโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย ก็มีเหตุสงครามในหลายภูมิภาค สงครามการค้า และการกีดกันทางการค้า กำแพงภาษี การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว รวมทั้งผู้โดยสารจีนที่มีกำลังซื้อสูงลดลง ทำให้ยอดขายลดลง

อย่างไรก็ดี จากเหตุผลข้างต้นนั้น ทำให้คิงเพาเวอร์ตัดสินใจยื่นหนังสือขอยกเลิกสัญญา รวมทั้งเหตุสุดวิสัยทั้งหมดส่งผลต่อยอดจำหน่ายและการประกอบการ ทำให้ค่าตอบแทนที่บริษัทต้องจ่ายให้ ทอท.อยู่ในเกณฑ์สูงกว่าที่ควรจะเป็นและที่ได้เสนอไว้ ซึ่งผลกระทบต่างๆ ทำให้คิงเพาเวอร์ประสบกับภาวะขาดทุน จากแบกรับภาระอัตราค่าตอบแทนที่สูงผิดปกติ และไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงของสถานการณ์

ทั้งนี้ คิงเพาเวอร์ยังระบุถึงสาเหตุของการขอยกเลิกสัญญาด้วยว่า เหตุสุดวิสัยนั้นไม่ได้เกิดจากการกระทำหรือความผิดจากบริษัท แต่ในทางกลับกับ ทอท. กลับพิจารณาและดำเนินการตามที่เห็นสมควรเพียงและเป็นประโยชน์แก่ ทอท. เพียงฝ่ายเดียว ไม่ได้หารือบริษัทเพื่อหาแนวทางเก้ไขที่เหมาะสมต่อทั้งสองฝ่าย และด้วยเหตุต่างๆ ที่ยังไม่คลี่คลาย บริษัทฯ จึงมีความจำเป็นต้องขอหารือร่วมทั้งสองฝ่ายเพื่อหาข้อยุติของปัญหา รวมไปถึงแนวทางพิจารณาเลิกสัญญา เพื่อให้ได้ข้อยุติภายใน 45 วัน

ก่อนหน้านี้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ได้อนุมัติให้บริษัท คิง เพาเวอร์ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่ และดอนเมือง เลื่อนการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ หลังจากประสบปัญหาสภาพคล่องจากผลกระทบของโควิด-19

เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2567 KPD ยื่นหนังสือขอเลื่อนชำระ โดยระบุว่าได้รับผลกระทบรุนแรงจากโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 การจำกัดการเดินทางของรัฐบาลทำให้จำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารลดลงอย่างมาก ร้านค้าปลอดอากรต้องปิดชั่วคราว ส่งผลให้พนักงานขาดรายได้

แม้สถานการณ์จะดีขึ้น แต่ KPD ยังไม่สามารถฟื้นธุรกิจได้เต็มที่ ประกอบกับต้องลงทุนปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกจำนวนมาก สถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อเพิ่ม และหนี้สินครบกำหนดชำระเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดปัญหาสภาพคล่อง

ผลประกอบการของ KPD แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหา โดยในปี 2566 ขาดทุนถึง 651,512,785 บาท และตั้งแต่มกราคม 2567 จนถึงปัจจุบันยังคงขาดทุนต่อเนื่อง

KPD ขอเลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 ถึงกรกฎาคม 2568 รวม 12 งวด ออกไปงวดละ 18 เดือน เพื่อเตรียมความพร้อมรับฤดูท่องเที่ยว (Peak Season) และคาดหวังจะกลับสู่สภาวะปกติในปี 2569

ทอท. ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่า สัดส่วนค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของ KPD อยู่ในเกณฑ์สูงมากเมื่อเทียบกับรายได้ปัจจุบัน และยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จึงอนุมัติให้เลื่อนชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของเดือนกันยายน 2567 ถึงเดือนเมษายน 2568 โดยออกหนังสือที่ ทอท.16706/2567 แต่ไม่ยกเว้นค่าปรับ

ในปี 2567 มีผู้ประกอบการกว่า 70 ราย ขอเลื่อนชำระ/ผ่อนชำระ หรือขอยกเลิกประกอบกิจการ เนื่องจากผู้ประกอบการโดยเฉลี่ยชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำสูงกว่าอัตราแบ่งรายได้เกินร้อยละ 50 ทอท. จึงจัดทำโครงการขยายระยะเวลาชำระเงินของผู้ประกอบการที่เผชิญสภาพคล่องตกต่ำ ซึ่งคณะกรรมการอนุมัติเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568

โครงการกำหนดให้ผู้เข้าร่วมต้องแจ้งความประสงค์ก่อนครบกำหนดชำระ มีหลักประกันครอบคลุมเงินต้นและค่าปรับอัตราร้อยละ 18 ต่อปี สามารถเลื่อนชำระได้ไม่เกิน 24 เดือน และต้องชำระดอกเบี้ยทุกเดือนตามอัตรา MLR ของธนาคารพาณิชย์ 5 แห่ง บวกร้อยละ 2 ต่อปี หากผิดนัดชำระตามโครงการ สิทธิ์จะสิ้นสุดทันที และ ทอท. จะดำเนินการตามเงื่อนไขสัญญาต่อไป

ทอท. ยืนยันว่าไม่ได้แก้ไขสัญญาสัมปทานแต่อย่างใด และยังคงปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด การอนุมัติดังกล่าวเป็นประโยชน์กับ ทอท. มากกว่าการยกเลิกสัญญาและประมูลใหม่ ซึ่งอาจทำให้ได้รับค่าผลประโยชน์ตอบแทนต่ำกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ