คนรุ่นใหม่ไทยเผชิญความเครียดเรื้อรัง ใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน

31 พ.ค. 2568 | 09:39 น.
อัปเดตล่าสุด :31 พ.ค. 2568 | 09:39 น.

ดีลอยท์เผยผลสำรวจพฤติกรรมวัยทำงาน Gen Z และ Gen Y ของไทย ประจำปี 2568 ชี้ 3 คุณค่าหลัก “เงิน ความหมาย ความเป็นอยู่ที่ดี” องค์กรต้องปรับวิธีคิด เพื่อรักษาคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพไว้ในระยะยาว

ดีลอยท์ ประเทศไทย เผยผลสำรวจ Deloitte Global 2025 Gen Z and Millennial Survey พบคนรุ่นใหม่ชาวไทยทั้ง Gen Z และ Gen Y ให้ความสำคัญสูงสุดกับ 3 คุณค่าหลัก ได้แก่ “รายได้ ความหมายของงาน และความเป็นอยู่ที่ดี”

Trifacta คือ 3 คุณค่าหลักที่ส่งผลต่อความสุขของคนรุ่นใหม่ทั่วโลก ได้แก่ รายได้ ความหมายของงาน และความเป็นอยู่ที่ดี

คนรุ่นใหม่ไทยเผชิญความเครียดเรื้อรัง ใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน

ผลสำรวจพบว่า รายได้มีความเชื่อมโยงกับระดับความสุขมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยสูงถึง 64% ขณะที่ความเป็นอยู่ที่ดีและความหมายของงาน มีค่าเฉลี่ยใกล้เคียงกันที่ประมาณ 56%

คนในกลุ่ม Gen Y ให้ความสำคัญกับคุณค่าทั้ง 3 ด้านของ Trifacta มากกว่า Gen Z อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจสะท้อนถึงประสบการณ์ชีวิตและการทำงานที่มากกว่า

เมื่อพิจารณาลงลึกด้านการเงิน พบว่า “ค่าครองชีพ” ยังคงเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลให้คนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยความกังวล 3 อันดับแรกของทั้ง Gen Z และ Gen Y ในประเทศไทยที่ตรงกัน ได้แก่ ค่าครองชีพ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และความปลอดภัยทางไซเบอร์ ตามด้วย 2 อันดับถัดมา ได้แก่ 1) สิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และ 2) การดูแลสุขภาพ

ด้านมุมมองเกี่ยวกับความมั่นคงทางการเงิน ประมาณ 63% ของคนไทยระบุว่า ตนเองใช้ชีวิตแบบ “เดือนชนเดือน” (ไม่เหลือให้ออม) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 52% ขณะเดียวกันประมาณ 25% ระบุว่า ตนเองยังต้องดิ้นรนในการจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดในแต่ละเดือน ซึ่งแม้จะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 36% แต่กลับสะท้อนถึงแรงกดดันทางการเงินที่ยังมีอยู่

นอกจากนี้ ประมาณ 27% ของคนไทยเห็นว่า อาจไม่สามารถเกษียณได้อย่างมั่นคงทางการเงิน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 42% โดยข้อมูลทั้งหมดนี้สะท้อนว่า คนรุ่นใหม่ไทยยังคงให้ความสำคัญกับประเด็นทางการเงินในระยะสั้น มากกว่าการวางแผนระยะยาวเพื่ออนาคต เช่น การออมเพื่อเกษียณอายุ

ปัจจัยที่มีผลต่อความรู้สึกถึงเอกลักษณ์ของตนเองในหมู่คนรุ่นใหม่ (Gen Z และ Gen Y) ของไทย พบว่า ประมาณ 54%  ให้ความสำคัญกับเพื่อนและครอบครัว ตามด้วยงานหลัก 46%  และกิจกรรมทางวัฒนธรรม 32%  โดยทั้ง 3 ปัจจัยนี้ มีสัดส่วนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระดับโลก

ขณะที่ประมาณ 29% เห็นด้วยกับอาชีพเสริม ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 14% และประมาณ 30%  เห็นด้วยกับการออกกำลังกาย ซึ่งก็สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกเล็กน้อยที่ 25%

62% ของ Gen Z และ 56% ของ Gen Y ระบุว่า พวกเขาปฏิเสธที่จะทำงานกับนายจ้างที่ดำเนินธุรกิจไม่สอดคล้องกับค่านิยมส่วนตัว ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่อยู่ที่ 40% อย่างชัดเจน

ขณะที่ 37% ของ Gen Z และ 45% ของ Gen Y เห็นด้วยกับการที่มีความยินดีที่จะลาออกจากงาน หากงานนั้นไม่สอดคล้องกับความเชื่อ หรือหลักที่ยึดถือเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต โดยตัวเลขนี้อยู่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 45%

ประเด็นนี้สะท้อนถึงคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญมากขึ้นกับ “คุณค่าร่วม” และภาพลักษณ์ขององค์กร องค์กรต่าง ๆ จึงควรตระหนักว่า ปัจจัยด้านค่านิยมและความเชื่อมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจของคนรุ่นใหม่ ทั้งในแง่ของการเลือกงานและการอยู่กับองค์กรในระยะยาว

 คนรุ่นใหม่เกือบทั้งหมดเห็นว่า Sense of Purpose (ความรู้สึกว่าการทำงานของตนเองมีคุณค่าและเป้าหมายที่ชัดเจน) เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการทำงานและคุณภาพชีวิตโดยรวม

คนไทยรุ่นใหม่กว่า 1 ใน 3 ระบุว่า ตนเองรู้สึกเครียดหรือกังวลเกือบหรือแทบตลอดเวลา โดยพบว่า Gen Z มีความเครียดจากแทบทุกปัจจัยสูงกว่า Gen Y ไม่ว่าจะเป็น เรื่องอนาคตทางการเงินในระยะยาว สุขภาพส่วนตัว ภาระในบ้านหรือการดูแลครอบครัว หรือปัญหาการเงินในชีวิตประจำวัน ยกเว้นเพียงเรื่องสุขภาพหรือความเป็นอยู่ของสมาชิกในครอบครัว ที่ Gen Y มีระดับความกังวลสูงกว่าเล็กน้อย

นอกจากนี้ มากกว่า 1 ใน 3 ของคนไทยรุ่นใหม่ยังระบุว่า งานเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่สร้างความเครียด โดยสาเหตุหลักมาจาก ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน การไม่มีเวลาเพียงพอในการทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ และการไม่รู้สึกถึงความหมายหรือเป้าหมายในสิ่งที่ทำ

ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนว่า Gen Z มีระดับความเครียดในทุกมิติเหนือกว่า Gen Y อย่างชัดเจน โดยอาจกล่าวได้ว่า Gen Y สามารถรับมือกับแรงกดดันในที่ทำงานได้มากกว่า

ขณะเดียวกัน ยังพบว่า หลายองค์กรทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านประสิทธิภาพการบริหารจัดการ แม้พนักงานจะทำงานเป็นเวลานาน แต่กลับไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้ ซึ่งเป็นความท้าทายที่หลายองค์กรต้องเร่งออกแบบแนวทางรับมืออย่างเป็นระบบ

อย่างไรก็ตาม คนไทยรุ่นใหม่ประมาณ 80% เชื่อว่า นายจ้างให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของพนักงานอย่างจริงจัง ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอยู่ที่ 61% สะท้อนให้เห็นว่าองค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทยมีการปรับตัว ให้การสนับสนุนด้านสุขภาพจิตมากขึ้น และที่สำคัญ คือ พนักงานสามารถรับรู้ได้ถึงความตั้งใจดังกล่าว

คทั้งนี้ คนใหม่ใช้ Gen AI อย่างแพร่หลาย เพื่อลดภาระงานและเพิ่มคุณภาพชีวิต โดยประมาณ 85% ของทั้ง Gen Z และ Gen Y ในประเทศไทย ระบุว่าเคยใช้ GenAI ช่วยในการทำงาน แม้ว่า Gen Z จะใช้ในกิจกรรมประจำวันมากกว่า แต่ Gen Y มีแนวโน้มในการใช้งานที่หลากหลายกว่า

3 อันดับแรกที่ทั้ง 2 เจนเนอเรชั่นนิยมใช้งานมากที่สุด ได้แก่ การวิเคราะห์ข้อมูล การออกแบบเชิงสร้างสรรค์ และการสร้างเนื้อหา

ทั้งนี้ Gen Y ยังมีการใช้งานบางด้านที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาซอฟต์แวร์ และการสร้างเนื้อหา จากข้อมูลข้างต้นนี้ สะท้อนถึงรูปแบบการใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าวที่กำลังกลายเป็นเรื่องปกติในที่ทำงาน แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง ยังมีคำถามสำคัญว่า องค์กรและบุคลากรมีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงนี้มากน้อยเพียงใด

โดยในภาพรวมนั้น องค์กรต่าง ๆ ยังเผชิญกับความท้าทายในการบริหารจัดการการใช้งานเทคโนโลยีใหม่นี้ ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่รู้สึกว่างานของตนถูกลดทอนคุณค่า

สำหรับมุมมองต่อทักษะที่ช่วยเพิ่มโอกาสในสายอาชีพนั้น Gen Z ในประเทศไทยให้ความสำคัญกับ 3 ทักษะหลัก ได้แก่ ทักษะด้านดิจิทัล (เช่น โซเชียลมีเดียและการตลาดดิจิทัล) ทักษะการจัดการเวลา และทักษะด้านการจัดการความยั่งยืน

ขณะที่คน Gen Y ในไทยให้ความสำคัญกับความรู้เฉพาะทางมากกว่า และเมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจระดับโลก พบว่า ทั้ง Gen Z และ Gen Y ต่างเห็นตรงกันว่า ทักษะการจัดการเวลาและความรู้เฉพาะทางตามอุตสาหกรรม เป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตในสายอาชีพ สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของแรงงานไทย ที่ยังให้ความสำคัญกับทักษะดิจิทัลในภาพรวม มากกว่าการลงลึกในอุตสาหกรรมเฉพาะทาง

คนรุ่นใหม่ไทยเผชิญความเครียดเรื้อรัง ใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน

กัญญ์ทิพา เครือแก้ว ณ ลำพูน ผู้จัดการอาวุโส แผนก Organization Transformation ดีลอยท์ ประเทศไทยกล่าวว่า ทั้ง Gen Z และ Gen Y ถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร

องค์กรใดที่สามารถสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมและคุณค่าที่สอดคล้องกับคนรุ่นใหม่ได้ดีกว่า จะสามารถดึงดูดหรือส่งเสริมให้พนักงานทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยเฉพาะในยุคที่ GenAI กำลังเข้ามามีอิทธิพลกับวิธีการทำงานมากขึ้นเรื่อย ๆ”

ดร.โชดก ปัญญาวรานันท์ ผู้จัดการอาวุโส แผนก Growth ดีลอยท์ ประเทศไทยกล่าวเสริมว่า จากที่ได้มีโอกาสติดตามรายงานฉบับนี้มาติดต่อกันเป็นปีที่ 3 จะเห็นว่าข้อมูลในแต่ละปีมีทิศทางที่ตอบคำถามด้วยตัวเองได้อย่างชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

ส่วนตัวแล้ว ต้องการเห็นการพูดคุยกันระหว่างภาคการศึกษาและภาคธุรกิจที่จะนำไปสู่การลงทุนทางการศึกษาและการพัฒนาบุคลากรที่ตอบโจทย์มากกว่านี้