เปิดธุรกิจพันล้าน 'มาดามรถถัง' เจ้าแห่งอุตสาหกรรมยานเกราะไทย

03 พ.ย. 2567 | 11:56 น.
อัปเดตล่าสุด :04 พ.ย. 2567 | 09:00 น.

เจาะธุรกิจ 'มาดามรถถัง' หรือ "นพรัตน์ กุลหิรัญ" ผู้ผลิตยานเกราะสัญชาติไทยรายใหญ่ จากทุนจดทะเบียน 200 ล้าน สู่สินทรัพย์ 1.6 พันล้าน ควบคุมเครือข่ายธุรกิจ 3 บริษัท 

"นพรัตน์ กุลหิรัญ" หรือที่รู้จักกันในนาม "มาดามรถถัง" วางรากฐานธุรกิจอุตสาหกรรมป้องกันประเทศผ่านการลงทุนในเครือข่ายบริษัท 3 แห่ง มูลค่ารวมกว่า 87 ล้านบาท นำโดยบริษัทแกนหลัก "ชัยเสรีเม็ททอล แอนด์ รับเบอร์" ผู้ผลิตและส่งออกรถหุ้มเกราะสัญชาติไทยที่ได้รับความไว้วางใจจาก 46 กองทัพทั่วโลก รวมถึงองค์การสหประชาชาติ

"นพรัตน์ กุลหิรัญ" หรือที่รู้จักกันในนาม "มาดามรถถัง"

จากการตรวจสอบงบการเงินผ่าน Creden Data เว็บไซต์ที่ให้บริการด้านข้อมูลนิติบุคคลที่จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ พบว่า บริษัท ชัยเสรีเม็ททอล แอนด์ รับเบอร์ จำกัด มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดย ณ สิ้นปี 2566 มีสินทรัพย์รวมพุ่งสูงถึง 1,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 200 ล้านบาท

สะท้อนการขยายตัวของธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยในปี 2566 บริษัทสามารถทำรายได้รวม 533 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 17.8 ล้านบาท

ด้านการขยายธุรกิจ ในปี 2564 บริษัทได้ร่วมลงทุนกับสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศจัดตั้ง "บริษัท ไทยดีเฟนส์อินดัสตรี จำกัด" ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท โดยชัยเสรีฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 89% เพื่อผลิตยานเกราะล้อยาง 4x4 ซึ่งเป็นการต่อยอดความเชี่ยวชาญด้านยานยนต์หุ้มเกราะ โดย ณ สิ้นปี 2566 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 32.4 ล้านบาท

นายยนต์หุ้มเกราะที่ผลิตโดยบริษัทของ "นพรัตน์ กุลหิรัญ" หรือที่รู้จักกันในนาม "มาดามรถถัง"

นอกจากนี้ "มาดามรถถัง" ยังได้วางกลยุทธ์ควบคุมต้นทุนการผลิตด้วยการขยายการลงทุนไปยังธุรกิจต้นน้ำ ถือหุ้น 95% ใน "บริษัท จี เอ็ม อินด์ จำกัด" ผู้ผลิตชิ้นส่วนโลหะ ที่มีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท โดยในปี 2566 บริษัทมีรายได้ 28.8 ล้านบาท และกำไร 8 แสนบาท ขณะที่มีสินทรัพย์รวม 41.3 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงการวางแผนธุรกิจแบบครบวงจร

ในส่วนของโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัทชัยเสรีฯ สะท้อนความเป็นธุรกิจครอบครัวอย่างชัดเจน โดยมีนายหิรัญ กุลหิรัญ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 84% คิดเป็นมูลค่า 755 ล้านบาท รองลงมาคือ นางนพรัตน์ถือหุ้น 5.33% มูลค่า 47 ล้านบาท และสมาชิกตระกูลกุลหิรัญอีก 8 คนถือหุ้นรวมกัน 10.67% 

ผลประกอบการของบริษัทชัยเสรีฯ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ จากกำไรเพียง 1 ล้านบาทในปี 2564 เพิ่มขึ้นเป็น 22.1 ล้านบาทในปี 2565 และรักษาระดับกำไรไว้ที่ 17.8 ล้านบาทในปี 2566 

ธุรกิจ

นอกจากนี้ "มาดามรถถัง" ยังกระจายการลงทุนไปยังธุรกิจประกันภัย โดยถือหุ้น 1.78% ในบริษัท ไทยพัฒนาประกันภัย จำกัด (มหาชน) มูลค่า 5.2 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการบริหารพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย

การเติบโตของกลุ่มธุรกิจภายใต้การนำของ "มาดามรถถัง" ไม่เพียงสะท้อนความสำเร็จในฐานะผู้ประกอบการไทย แต่ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศไทยที่สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน