จีนเปิดประเทศ ดันตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยทะลุ 25-28 ล้านคน

17 ม.ค. 2566 | 04:03 น.

จีนเปิดประเทศ ดันตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติไทยทะลุ 25-28 ล้าน เงินเฟ้ออยู่ที่ 2.5% หนุน กนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง ส่วนเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเผชิญ Mild recession จากสัญญาณลบภาคการผลิตและภาคบริการ ย้ำเศรษฐกิจจีนยังเปราะบาง เหตุโควิดยังมีผู้ติดเชื้อสูง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วิจัยกรุงศรี ประเมินอัตราตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 66 หลังจีนเปิดประเทศ คาดไม่ต่ำกว่า 25-28 ล้านคน จากเดิมที่คาดว่าตัวเลขจะอยู่ที่ 22.7 ล้านคน ด้านอัตราเงินเฟ้อปี 2566 คาดอยู่ที่ 2.5% หนุนคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งในปีนี้ ปัจจัยบวกจากจีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาด หนุนให้ประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยปีนี้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 25-28  ล้านคน 

จีนเปิดประเทศ ดันตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยทะลุ 25-28 ล้านคน

ด้านกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เผยว่าหลังจากจีนประกาศเปิดประเทศ ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 จะเริ่มมีเที่ยวบินจากจีนที่นำนักท่องเที่ยวทยอยเข้าไทยมาไฟล์ทแรกตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม จากเมืองเซี่ยเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน ทางตอนใต้ของจีน ประมาณ 200 คน และมีสัญญาณการเพิ่มไฟล์ทบินจากจีนมายังไทยแบบค่อยเป็นค่อยไป

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกๆ การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนอาจยังมีข้อจำกัดจากจำนวนเที่ยวบิน รวมถึงรัฐบาลจีนยังไม่อนุญาตให้บริษัทนำเที่ยวนำกลุ่มทัวร์ออกนอกประเทศ ผู้เดินทางจีนส่วนใหญ่จึงอาจเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตัวเองและเป็นกลุ่มนักเดินทางระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งอาจมีจำนวนไม่มาก ในภาพรวมคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยอาจจะฟื้นชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 

จีนเปิดประเทศ ดันตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยทะลุ 25-28 ล้านคน

ทั้งนี้ ภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้นคาดว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญที่ช่วยหนุนให้ GDP ไทยในปีนี้จะยังเติบโตได้ที่ 3.6% แม้ว่าภาคส่งออกของไทยเผชิญปัจจัยลบจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว ท่ามกลางความเสี่ยงต่อภาวะถดถอยในประเทศคู่ค้าหลักทั้งสหรัฐฯ และยุโรป โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกของไทย (สกุลดอลลาร์) ในปี 2566 อาจเติบโตได้เพียงเล็กน้อยที่ 0.5% (เดิมคาด 3.5%)

จีนเปิดประเทศ ดันตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยทะลุ 25-28 ล้านคน
 

ส่วนเศรษฐกิจโลก มีแนวโน้มเผชิญ Mild recession ในขณะที่การเปิดประเทศของจีนอาจเป็น Game changer ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยในเดือนธันวาคม ดัชนีภาคการผลิตหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ที่ระดับ 48.4 ลดลงจาก 49.0 ในเดือนพฤศจิกายน ท่ามกลางความอ่อนแอของอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ ส่วนดัชนีภาคบริการหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี ที่ระดับ 49.6 จาก 56.5 ในเดือนก่อนหน้า ด้านการนำเข้าในเดือนพฤศจิกายนร่วงลง 6.4% สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปี อย่างไรก็ตาม ตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง โดยการจ้างงานของภาคเอกชนที่รายงานโดย ADP และการจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้นมากกว่านักวิเคราะห์คาด สู่ระดับ 235,000 และ 223,000 ตำแหน่ง ตามลำดับ อัตราการว่างงานลดลงสู่ 3.5%

 

วิจัยกรุงศรีประเมินว่า ความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานจะส่งผลให้เฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่ชะลอลง เนื่องจากภาคการผลิตและภาคบริการส่งสัญญาณเข้าสู่ภาวะ Mild recession

 

อัตราเงินเฟ้อและค่าจ้างเริ่มชะลอลงประกอบกับผลเชิงลบที่จะทยอยปรากฎขึ้น หลังจากดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมครั้งถัดไปวันที่ 31 มกราคม ถึง 1 กุมภาพันธ์หลังจากปรับขึ้น 0.50% ในเดือนธันวาคม

จีนเปิดประเทศ ดันตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยทะลุ 25-28 ล้านคน

ดัชนีชี้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจของยูโรโซนยังคงหดตัว แต่แรงส่งเริ่มปรับดีขึ้น บ่งชี้ว่าภาวะถดถอยอาจรุนแรงน้อยกว่าที่คาด ในเดือนธันวาคมดัชนี Composite PMI เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 49.3 จาก 48.8 ในเดือนพฤศจิกายน ดัชนีที่ต่ำกว่า 50 ยังคงบ่งชี้ถึงภาวะการหดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 จากยอดคำสั่งซื้อใหม่และอุปสงค์ที่ชะลอลง 

อย่างไรก็ตาม ดัชนีสามารถฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่สองและเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน ซึ่งสะท้อนภาพ รวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เริ่มหดตัวน้อยลง

 

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 9.2% YoY ชะลอลงจาก 10.1% ในเดือนพฤศจิกายน เหตุจากราคาพลังงานที่ปรับตัวลง แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งที่ 5.2% สูงกว่าที่ตัวเลขคาดการณ์ของตลาดและตัวเลขในเดือนพฤศจิกายนที่ 5.0%  

จีนเปิดประเทศ ดันตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยทะลุ 25-28 ล้านคน

วิจัยกรุงศรีเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางบวกมากขึ้นจากการผ่อนคลายของ 3 ปัญหาหลัก ทั้งภาวะชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน แรงกดดันฝั่งต้นทุน รวมถึงวิกฤติพลังงานของภูมิภาค ปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนให้กลุ่มผู้ประกอบการและภาคครัวเรือนมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในภาพรวมดีขึ้น สะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3


สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อในปี 2566 คาดว่าจะยังคงสูงกว่ากรอบเป้าหมายของ ECB ที่ 2% ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องและยังคงกดดัน การฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวม ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีประเมินว่าเศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโรโซน มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้ แต่ภาวะถดถอยอาจไม่รุนแรงอย่างที่หลายฝ่ายวิตกกันในช่วงก่อนหน้า

 

จีนยังเผชิญความไม่แน่นอนสูง แม้การเปิดประเทศอาจหนุนเศรษฐกิจในช่วงต้นปี เศรษฐกิจจีนปี 2565 คาดว่าขยายตัวที่ราว 3% ต่ำกว่าที่ IMF คาดการณ์ไว้ที่ 3.2% ซึ่งเป็นผลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในช่วงไตรมาสที่ 4 รวมถึงการล็อคดาวน์ในหลายพื้นที่ โดย PMI ภาคการผลิตในเดือนธันวาคมปรับลดลงมาอยู่ที่ 47 ในขณะที่ PMI นอกภาคการผลิตลดลงค่อนข้างมากจาก 46.7 ในเดือนพฤศจิกายนเหลือเพียง 41.6

 

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการโควิดภายในประเทศเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้จากเดิม รวมถึงนับตั้งแต่วันที่ 8 มกราคมเป็นต้นไป จีนจะเปิดประเทศโดยให้ผู้เดินทางจากต่างประเทศแสดงเพียงผลตรวจโควิดในรอบ 48 ชั่วโมงที่เป็นลบและไม่ต้องกักตัว

 

วิจัยกรุงศรีมองว่า เศรษฐกิจจีนในเดือนมกราคมมีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยหนุนมาจากการยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ รวมถึงเทศกาลตรุษจีนในช่วงปลายเดือนมกราคม อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังคงมีความเปราะบางจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่คาดว่าอาจสูงถึง 3.7 ล้านคนต่อวัน และผู้เสียชีวิตที่ 25,000 คนต่อวัน โดยตัวเลขดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะปรับสูงมากขึ้นอีก หลังจากเทศกาลตรุษจีน ซึ่งอาจสั่นคลอนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรก

จีนเปิดประเทศ ดันตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยทะลุ 25-28 ล้านคน