KTIS ขี้ราคาน้ำตาล-น้ำมันโลกขยับขึ้นช่วยหนุนธุรกิจ

18 พ.ค. 2559 | 08:59 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

 

นายณัฎฐปัญญ์  ศิริวิริยะกุล  รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท  เกษตรไทย  อินเตอร์เนชั่นแนล  ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง  เปิดเผยว่า สายธุรกิจที่มีรายได้สูงสุดของกลุ่ม KTIS ในไตรมาสแรกของปี 2559 ยังคงเป็นสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ซึ่งมีรายได้ 3,259.0 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 75% ของรายได้รวม 4,339.6  ล้านบาท

“เนื่องจากราคาน้ำตาลและราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในไตรมาสที่ 2 มีแนวโน้มสูงกว่าไตรมาสแรกอย่างชัดเจน จึงคาดว่าผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS ในไตรมาสนี้น่าจะดีกว่าไตรมาสแรก”

สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล ในไตรมาสแรกของปี 2559 ยังมีการรับรู้รายได้เฉพาะโรงไฟฟ้าเกษตรไทยไบโอเพาเวอร์ กำลังการผลิต 60 เมกะวัตต์ ส่วนโรงไฟฟ้าไทยเอกลักษณ์เพาเวอร์ ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ เพิ่งเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในเชิงพาณิชย์ (COD) เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2559 การรับรู้รายได้จึงเกิดขึ้นในไตรมาสที่สอง และโรงไฟฟ้าอีกแห่งหนึ่ง คือรวมผลไบโอเพาเวอร์ ประมาณการว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ โดยโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งของกลุ่ม KTIS นี้ ใช้เทคโนโลยีใหม่ที่สามารถผลิตไอน้ำแรงดันสูง ซึ่งไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่วนหนึ่งจะนำไปใช้ในกระบวนการผลิตน้ำตาล เพื่อประหยัดการใช้เชื้อเพลิงชานอ้อย ที่เหลือจึงขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

นายณัฎฐปัญญ์ กล่าวถึงโครงการผลิตน้ำเชื่อม (Liquid Sucrose) และโครงการผลิตน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษ (Super Refined Sugar) ที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจ คือ บริษัท นิสชิน ชูการ์ และบริษัท ซูมิโตโม  คอร์ปอเรชั่น ด้วยว่า สำหรับน้ำเชื่อมนั้นบริษัทมีแผนที่จะจำหน่ายให้กับลูกค้าซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการอุตสาหกรรมน้ำอัดลม ส่วนน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษนั้น บริษัทจะทำการผลิตเพื่อการส่งออก ซึ่งมีตลาดรองรับอยู่แล้ว

ทั้งนี้ ในไตรมาสแรกของปี 2559 กลุ่ม KTIS มีรายได้รวม 4,339.6  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2558 ที่ทำได้ 3,827.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปี 2559 จำนวน 49.7 ล้านบาท