ทอท.ขาดทุน7พันล้านแต่ยังรุกขยายสนามบิน-เปิดpppดันรายได้Non-Air

01 ก.ค. 2564 | 13:38 น.

ทอท. ฝ่าวิกฤตโควิดรับแม้อ่วมขาดทุน7พันล้าน แต่ยังเดินหน้าอัพเกรด-ขยายสนามบินทั้ง 6 แห่งรองรับการเดินทางกลับสู่ภาวะปกติ ทั้งขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาการใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุจากเดิมสิ้นสุดในปีงบ75 เป็นสิ้นสุดในปีงบ95 นำพื้นที่เปิดPPPดันรายได้ Non-Air

นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ทอท.หรือAOT กล่าวว่า วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 AOT ครบรอบ 42 ปีการดำเนินงาน มีสนามบินภายใต้การบริหารของ AOT จำนวน 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.)

 

โควิดฉุดผู้โดยสารหด71.5%

 

โดย 8 เดือนที่ผ่านมาของปีงบประมาณ 2564 (ตุลาคม 2563 – พฤษภาคม 2564) ปริมาณการจราจรทางอากาศ ณ สนามบนทั้ง 6 แห่งมีผู้โดยสารใช้บริการประมาณ 18.33 ล้านคน ลดลง 71.5% เป็นไปในทิศทางเดียวกับจำนวนเที่ยวบิน คือ มีประมาณ 206,000 เที่ยวบินลดลง 51.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (มีผู้โดยสาร 64.20 ล้านคนและเที่ยวบิน 425,800 เที่ยวบิน) เนื่องจากปีงบประมาณ 2563

นิตินัย ศิริสมรรถการ

AOT ได้ประโยชน์จากไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2563 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นช่วง Golden Months แต่ในปีงบประมาณ 2564 นโยบายภาครัฐของไทยและหลายประเทศสำคัญของโลกยังคงมาตรการการจำกัดการเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศตลอดทั้งปี เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และจากการแพร่ระบาดฯ ระลอก 2 และ 3 ส่งผลให้การฟื้นตัวของการเดินทางภายในประเทศเกิดการปรับตัวลง

 

6เดือนอ่วมขาดทุน7พันล้าน

 

นายนิตินัย กล่าวเพิ่มเติมว่า จากปริมาณผู้โดยสารและเที่ยวบินที่ลดลงส่งผลให้ผลการดำเนินงานด้านการเงินของ AOT รอบ 6 เดือนของปีงบประมาณ 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 31 มีนาคม 2564 (งบการเงินเฉพาะบริษัท) AOT มีรายได้จากการขายหรือการให้บริการ 3,748.03 ล้านบาท และรายได้อื่น 792.13 ล้านบาท รวมรายได้คิดเป็น 4,540.16 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่าย 13,464.40 ล้านบาท และรายได้ภาษีเงินได้ 1,857.30 ล้านบาท จึงทำให้มีผลขาดทุนสำหรับงวดดังกล่าว จำนวน 7,066.94 ล้านบาท

สำหรับโครงการ Phuket Sandbox ซึ่งจะเริ่มวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 AOT มีความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยได้จัดสิ่งอำนวยความสะดวกและเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำแก่ผู้โดยสาร เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการรับนักท่องเที่ยว กระบวนการตรวจเอกสารและหนังสือเดินทาง การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย การตรวจหาเชื้อไวรัส  COVID-19

 

รวมทั้งได้เน้นย้ำในเรื่องการรักษาความสะอาด การเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและติดตามเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ซึ่ง AOT และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันฝึกซ้อมกระบวนการผู้โดยสารขาเข้าและขาออกระหว่างประเทศเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้โดยสารที่จะมาใช้บริการ

ทอท.ขาดทุน7พันล้านแต่ยังรุกขยายสนามบิน-เปิดpppดันรายได้Non-Air

ทั้งนี้จากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งถือเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุด และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบินมากที่สุด รวมทั้งมีผลกระทบต่อการบริหารและการดำเนินงานของ AOT อย่างชัดเจน ทำให้ AOT ได้มีการประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์หลังจากสิ้นสุดวิกฤตโรค COVID-19 ทั้งในด้านรูปแบบการเดินทาง พฤติกรรมผู้โดยสาร ทิศทางอุตสากรรมการท่องเที่ยวและการบิน

 

โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีมาใช้อำนวยความสะดวกผู้โดยสาร เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อจากการเดินทางทางอากาศ และยังสอดคล้องกับสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association : IATA) และสภาสมาคมท่าอากาศยานระหว่างประเทศ (Airport Council International : ACI) ที่ได้ร่วมมือกันจัดทำโครงการ NEXTT (New Experience Travel Technologies) เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในการเดินทางทางอากาศ

 

อัพเกรดบริการ-ขยายสนามบิน

AOT ได้นำสิ่งเหล่านี้มาปรับกลยุทธ์การบริหารองค์กรให้สามารถฟื้นตัวให้ได้เร็วที่สุด โดยที่ผ่านมา AOT ได้เริ่มศึกษา พัฒนา และต่อยอดเทคโนโลยี เพื่ออำนวยความสะดวกผู้โดยสารและลดความเสี่ยงที่เกิดจากการสัมผัส ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มนำมาใช้ในสนามบินบางแห่งของ AOT เพื่อนำร่องและขยายผลให้ครบทุกสนามบินในอนาคต ได้แก่

 

1. ระบบตรวจบัตรโดยสารขึ้นเครื่อง (Common Use Passenger Processing System : CUPPS) เริ่มนำร่องที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นแห่งแรก ซึ่งเป็นระบบที่อำนวยความสะดวกผู้โดยสารไม่ต้องต่อแถวเช็กอินและโหลดสัมภาระ ประกอบด้วย ระบบ CUSS (Common Use Self Service) การเช็กอินผ่านเครื่อง Kiosk โดยในอนาคต AOT จะนำเทคโนโลยี Bio Metric เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการเช็กอิน ซึ่งผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องใช้บัตรโดยสารในการยืนยันตัวตน ในพิธีการตรวจคนเข้าเมือง และการตรวจบัตรโดยสารก่อนขึ้นเครื่อง พร้อมทั้งระบบ CUBD (Common Use Bag Drop) สำหรับผู้โดยสารโหลดสัมภาระได้ด้วยตนเอง

 

2.ระบบติดตามและตรวจนับความหนาแน่นผู้โดยสารแบบ Real time (Passenger Tracking) เริ่มนำร่องที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานภูเก็ตก่อน โดยระบบนี้จะแสดงระยะเวลาที่ผู้โดยสารต้องรอคอยเข้าคิวในพื้นที่ตรวจบัตรโดยสาร ขั้นตอนตรวจค้นผู้โดยสาร และขั้นตอนตรวจหนังสือเดินทาง โดยสามารถตรวจสอบสถานะการรอคอยคิวผ่านจอมอนิเตอร์แบบ Real time ซึ่งจะทำให้ผู้โดยสารสามารถประเมินเวลาในการรอคอยในพื้นที่นั้นๆ อีกทั้งยังสามารถประเมินเวลาการมาใช้บริการภายในสนามบินได้ด้วยตนเอง โดยสามารถเช็กได้ผ่าน AOT Airports Application

 

ทั้งนี้ระบบยังสามารถแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่สนามบินในเรื่องของความหนาแน่นในพื้นที่นั้นๆ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการกระจายผู้โดยสารไปยังจุดให้บริการที่มีความหนาแน่นน้อยกว่า และช่วยในเรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ได้ด้วย

3.ระบบจัดเก็บค่าบริการจอดรถยนต์แบบอัตโนมัติ (Smart Carpark) เป็นการให้บริการผู้โดยสารที่เข้ามาใช้พื้นที่บริเวณอาคารจอดรถ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานภูเก็ต โดยผู้ใช้งานดำเนินการด้วยตนเองตั้งแต่การรับบัตรจอดรถค้นหาพื้นที่จอดรถ พร้อมแสดงจำนวนและตำแหน่งของช่องว่างที่สามารถจอดได้ ทั้งนี้ ระบบจะจดจำตำแหน่งที่จอดรถ ซึ่งผู้ใช้งานสามารถค้นหารถของตนเองจากทะเบียนรถ ได้ที่ตู้ Kiosk เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากการติดต่อและสัมผัสร่วมระหว่างผู้ใช้งานและเจ้าหน้าที่

ทอท.ขาดทุน7พันล้านแต่ยังรุกขยายสนามบิน-เปิดpppดันรายได้Non-Air

นายนิตินัย กล่าวว่า แม้ว่า AOT จะเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและการอำนวยความสะดวกผู้ใช้บริการ การพัฒนาสนามบินเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้บริการ และเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป โดยโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2 มีความก้าวหน้ามากกว่า 95% ทั้งนี้ AOT อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดใช้งานอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1  (Satellite 1 : SAT-1) โดยพิจารณาจากทิศทางการฟื้นตัวของปริมาณการจราจรทางอากาศและความต้องการเดินทางในอนาคต

 

ควบคู่กับการบริหารจัดการอาคารผู้โดยสารหลัก (Main Terminal) โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในภาพรวมอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้ให้ความสำคัญในเรื่องระดับการบริการ (Level of Service) ที่เหมาะสม และการรองรับรูปแบบการเดินทางวิถีใหม่ (New Normal) ทั้งนี้ ยังขึ้นอยู่กับแผนบริหารจัดการฝูงบินของสายการบินที่มีฐานปฏิบัติการ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้วย

สำหรับโครงการพัฒนา ทดม.ระยะที่ 3 เพื่อเป็นการคืนขีดความสามารถเดิมของท่าอากาศยานดอนเมือง และพัฒนาเต็มศักยภาพของพื้นที่ให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 40 ล้านคนต่อปี ปัจจุบัน AOT อยู่ระหว่างการแก้ไขเพิ่มเติมรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) กำหนด

ทอท.ขาดทุน7พันล้านแต่ยังรุกขยายสนามบิน-เปิดpppดันรายได้Non-Air

หลังจากนั้น AOT จะจัดส่งรายงานให้กับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณา ขณะเดียวกัน AOT ได้ดำเนินการคู่ขนานไปกับการขออนุมัติงบประมาณในโครงการ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับปรุงเอกสารโครงการ เพื่อเสนอสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการจ้างออกแบบได้ในปี 2565 และภายในปี 2564 ผู้ใช้บริการท่าอากาศยานดอนเมืองจะไม่ต้องพบปัญหาการจราจรติดขัดหน้าชานชาลา

 

เนื่องจาก ทดม.อยู่ระหว่างการก่อสร้าง Taxi Drop Lane เพื่อเพิ่มช่องจราจร จำนวน 2 เลน แยกเฉพาะรถแท็กซี่ที่เข้ามาส่งผู้โดยสาร พร้อมสร้างหลังคาคลุมชานชาลา มีทางลาดเลื่อนอัตโนมัติ ติดกล้องวงจรปิด และระบบปรับอากาศ 2 จุด คือ บริเวณหน้าชานชาลาอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ อาคาร 2 ประตู 9 – 10 และประตู 14 – 15

ทอท.ขาดทุน7พันล้านแต่ยังรุกขยายสนามบิน-เปิดpppดันรายได้Non-Air

ในส่วนของโครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ ระยะที่ 1 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารได้เป็น 16.5 ล้านคน ขณะนี้ AOT อยู่ระหว่างดำเนินการจัดหาที่ปรึกษาออกแบบรายละเอียดโครงการ ซึ่งจะใช้เวลาออกแบบประมาณ 1 ปี และอยู่ระหว่างเสนอรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมฉบับแก้ไขให้แก่ คชก.

 

โดยคาดว่าจะเสนอโครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ ระยะที่ 1 ต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาในช่วงต้นปี 2565 และจะเริ่มจัดหาผู้รับจ้างก่อสร้างหลังจากออกแบบแล้วเสร็จ ซึ่งจะใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 3 ปี คาดว่าสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปี 2569 พร้อมกันนี้ สนามบินของ AOT อีก 3 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายท่าอากาศยาน ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ยังคงเดินหน้าดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินตามแผนแม่บทการพัฒนาสนามบินเช่นกัน

 

ดันรายได้NON-AIR

 

นอกเหนือจากการพัฒนาศักยภาพของสนามบินและการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการแล้ว AOT ยังมีนโยบายเพิ่มสัดส่วนรายได้จากกิจการที่ไม่เกี่ยวกับการบิน (Non-Aeronautical Revenue) โดยมีแนวคิดต่อยอดพัฒนาทรัพย์สิน (ที่ราชพัสดุ) ที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ ซึ่งที่ผ่านมา AOT ได้มีการประชาสัมพันธ์ทรัพย์สิน (ที่ราชพัสดุ) ที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ผ่านสื่อต่างๆ เช่น เว็บไซต์ของ AOT กลุ่มไลน์ผู้ประกอบการของ AOT เป็นต้น

 

นอกจากนั้นได้เตรียมความพร้อมของทรัพย์สินตามบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเศรษฐกิจและสังคม เช่น การประเมินมูลค่าทรัพย์สิน การกำหนดค่าตอบแทน การจัดทำร่างประกาศเชิญชวน เป็นต้น รวมทั้งยังได้ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาการใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุจากเดิมสิ้นสุดในปีงบประมาณ 2575 เป็นสิ้นสุดในปีงบประมาณ 2595

ทั้ง AOT ยังได้ประสานผู้ประกอบการ เพื่อสอบถามความสนใจลงทุนพัฒนาและใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาทรัพย์สินเชิงพาณิชย์ทั้งโครงการขนาดเล็กและขนาดใหญ่ร่วมกับหุ้นส่วนทางธุรกิจตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 PPP หรือการพัฒนาร่วมกับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ในส่วนของที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ AOT แปลงถนนวัดศรีวารีน้อย 723 ไร่ AOT มีแผนที่จะพัฒนาให้เป็น “ศูนย์บริการและสนับสนุนกิจการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ” บนเนื้อที่รวมประมาณ 560-1-99 ไร่ เพื่อดำเนินโครงการ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องหรือสนับสนุนการประกอบกิจการท่าอากาศยาน และการขนส่งทางอากาศ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อพัฒนาและปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในพื้นที่โครงการเพื่อเชื่อมต่อสู่สนามบินและพื้นที่บริเวณโดยรอบต่อไป

 

อีกหนึ่งปัจจัยในการสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนและความมั่นใจในคุณภาพการให้บริการ รวมทั้งความต่อเนื่องทางธุรกิจของการให้บริการหลัก (Core Service) ภายในสนามบินของ AOT คือ การขับเคลื่อนการพัฒนาธุรกิจรูปแบบบริษัทลูกหรือบริษัทร่วมทุนร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจของ AOT ในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการการบิน (Aeronautical Business) เพื่อยกระดับมาตรฐานการดำเนินงาน และความหลากหลายด้วยการขยายธุรกิจออกไปจากธุรกิจการบิน (Diversified Business) เป็นการสร้างความเติบโตทางธุรกิจแบบเชิงรุกเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ กระจายความเสี่ยง และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวให้กับ AOT

 

โดยได้ตั้งบริษัทร่วมทุน 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท รักษาความปลอดภัย ท่าอากาศยานไทย จำกัด (AVSEC) บริษัท บริการภาคพื้นท่าอากาศยานไทย จำกัด (AOTGA) และบริษัท ท่าอากาศยานไทย ทาฟ่า โอเปอร์เรเตอร์ จำกัด (AOTTO) ที่เป็นความภาคภูมิใจของ AOT ในการมีส่วนร่วมยกระดับและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าทางการเกษตร โดย AOT ร่วมกับกรมวิชาการเกษตรในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเตรียมเปิดศูนย์ตรวจสอบสินค้าเน่าเสียง่ายก่อนส่งออกไปยังต่างประเทศ

 

ทั้งนี้จะปรับปรุงคลังสินค้า 4 ภายในเขตปลอดอากร ทสภ.เป็นศูนย์ตรวจรับรองมาตรฐาน ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำร่างบันทึกข้อตกลง และเสนอให้กระทรวงคมนาคมซึ่งกำกับดูแล AOT และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณา หลังจากนั้น จะก่อสร้างปรับปรุงสถานที่ใช้เวลาประมาณ 4 เดือนและคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการแก่เกษตรกรได้ในช่วงต้นปี 2565

 

42 ปีแห่งการดำเนินงานของ AOT ได้ผ่านทั้งวิกฤตและความสำเร็จมามากมาย แม้ในปีนี้จะเจอความท้าทายแบบใหม่ แต่ AOT ได้มีการวางรากฐานธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง มีความพร้อมในการรับมือและปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เพื่อเติบโตและก้าวไปถึงวิสัยทัศน์ขององค์กรในการเป็นผู้ดำเนินการและจัดการท่าอากาศยานที่ดีระดับโลก (AOT operates the world’s smartest airports) และเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินและเศรษฐกิจของประเทศต่อไป นายนิตินัย กล่าวทิ้งท้าย