วันนี้ (8 พ.ค.2563)สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย จำนวน 15 คน นำโดย นายนเรศ ผึ้งแย้ม ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย ได้เดินทางมายังศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อเวลา 13.00 น. เพื่อยื่นหนังสือถึง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ผ่าน นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี และนายสมพาศ นิลพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงจุดยืนต่อกรณีแผนฟื้นฟูบมจ.การบินไทย
สืบเนื่องจากกระแสข่าวต่างๆในระยะเวลา 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา เกี่ยวกับบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ที่ปรากฏตามสื่อต่างๆในเรื่องของกระทรวงคมนาคม คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(คนร.)และการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2563
สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย ขอแสดงจุดยืนในการดูแล/ปกป้อง บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยเน้นในเรื่องของสถานะคงสภาพความเป็นรัฐวิสาหกิจ และการอยู่ร่วมกันของหน่วยงานทุกหน่วยงานของบริษัทฯและการลุ้มครองสิทธิประโยชน์รวมถึงสวัสดิการของพนักงานบริษัทฯ ทุกท่านตามสภาพการจ้างที่มีอยู่เดิมตามกฎหมายว่าด้วยเเรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ และกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน
อย่างไรก็ตาม สหภาพแรงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย มีความ้ห็นด้วยกับการปรับปรุงแก้ไขเกี่ยวกับโครงสร้างขององค์กร การเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท การลดค่าใช้จ่าย การกำจัดอิทธิพลทางการเมืองต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นทุกรูปแบบและจะส่งข้อมูลการทุจริตผ่านช่องทางที่รัฐบาลนำสนอ รวมถึงการลดขนาดขององค์กรอย่างถูกต้องตามกฏหมาย และด้วยความสมัครใจของพนังานตามแผนพื้นฟูบริษัทครบินไทยจำกัด(มหาชน)ที่จะผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และไม่กระทบกับสภาพการจ้างของพนักงานบริษัทการบินไทยฯ
สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย และพนักงานบริษัทฯยินดีให้ควมร่วมมือกับรัฐบาลในการฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยขอแสดงเจตนามณ์คัดค้านการแปรรูปบริษัทฯด้วยการแบ่งแยกหน่วยธุรกิจของบริษัทออกจากัน และ/หรือ มีผลให้บริษัท การบินไทย พันสภาพจากความเป็นรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากการบินไทยเป็นสายการบินแห่งชาติ และต้องเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น
อนึ่งเพื่อความสมบูรณ์ของแผนฟื้นฟูในการทำให้บริษัทฯดำเนินไปตามแผนฯ สหกาพฯ ขอทำหน้าที่ในการตรวจสอบ และหรือมีส่วนร่วมรับรู้ในทุกขั้นตอนของกระบวนการปฏิบัติ เพื่อให้อผนฟื้นฟูนี้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์
จึงรียนมาเพื่อแสดงจุดยืนของสหภาพฯ ให้ ๆพณฯ นายกรัฐมนตรีได้รับทราบ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการตัดสินใจ และสั่งการต่อไป