นายเซลิม เซสกิน ประธานกรรมการ มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากวิกฤติเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กำลังระบาดในขณะนี้ บริษัทมีนโยบายในการดำเนินงานเพื่อป้องกันการระบาดของไวรัสดังกล่าว ตามนโยบายของบริษัทแม่ ที่ได้ประกาศ 5 แผนงาน เพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าวพร้อมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของอุตสาหกรรม (One team across the industry) ในการร่วมกันเอาชนะปัญหาการระบาดของไวรัสที่กำลังวิกฤติไปทั่วโลกขณะนี้
ประกอบด้วย 1. Sharing tools and insights การแชร์เครื่องมือและยาในการรักษาโรคที่บริษัทมีอยู่แก่องค์กรต่างๆ ทั่วโลก 2. Marshalling our people การระดมบุคลากรที่มีทั้งหมดของบริษัทที่มีอยู่ทั่วโลก ในการช่วยพัฒนาวัคซีน นำงานวิจัยทั้งเก่าและใหม่มาช่วยในการพัฒนาต่อยอดการรักษา 3. Applying our drug development expertise เปิดความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งรายเล็กและรายใหญ่ในการพัฒนายา 4. Offering our manufacturing capabilities ให้ความร่วมมือด้านกำลังการผลิตที่มีสูงของไฟเซอร์สำหรับการผลิตยา และ 5. Improving future rapid response หากวัคซีนหรือยามีความพร้อมที่จะแจกจ่าย ก็จะความร่วมมือทั้งในระดับสากลและระดับประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนจะเข้าถึงยาได้
“นอกจากนี้ในส่วนของมูลนิธิและบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนา (R&D) ค้นคว้าวิจัยเพื่อนำผลิตที่ได้มาช่วยในการป้องกันการระบาดของโรคให้มากที่สุด โดยพร้อมที่จะจับมือกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน ในการทำงานเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ออกมาดีที่สุด”
ด้านนพ.นิรุตติ์ ประดับญาติ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านชีวเวชภัณฑ์ กล่าวว่า ในส่วนของประเทศไทยบริษัทได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและค้นคว้าวิจัยทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์ยาและวัคซีนเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายบริษัทแม่ โดยพร้อมร่วมมือกับทุภาคส่วนทั้งในระดับโลกและภูมิภาค เพื่อพัฒนางานด้านการวิจัย
โดยแนวทางการวิจัยของบริษัทในปีนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักได้แก่ การค้นหายาที่มีฤทธิ์ต้าน หรือรักษาไวรัส ขณะนี้ประสบความสำเร็จในการค้นหาสารโครงสร้างที่มีการออกฤทธิ์ต่อโควิด-19 ซึ่งมีในฐานข้อมูลอยู่แล้ว และจะเข้าสู่การวิจัยในสัตว์ทดลอง (pre-clinical) และต่อยอดในมนุษย์ (clinical) ต่อไป ถ้าผลทดลองในสัตว์เป็นไปด้วยดี คาดว่าจะสามารถทดลองในมนุษย์ได้ ภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ และกระจายทั่วโลกได้ในปี 2564
อีกแนวทางการวิจัยคือ การพัฒนาวัคซีนเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันปัญหาของระบบสาธารณสุขในวงกว้าง โดยร่วมมือกับบริษัทวิจัยในประเทศเยอรมนี ไบโอฟาร์มาซูติคอล นิว เทคโนโลยี Biopharmaceutical New Technologies หรือ BioNTech ในการพัฒนาวัคซีนที่ถือว่าเป็น First in Class หรือวัคซีนตัวแรกสำหรับโควิด-19 ที่พัฒนามาจาก mRNA vaccine โดยวางแผนทำงานวิจัยในมนุษย์ภายในเดือนเมษายนนี้ ในสหรัฐอเมริกา และยุโรป
เป็นเป้าหมายแรก หากผลวิจัยเป็นไปตามที่คาดหวังมีประสิทธิภาพดี สามารถเร่งการวิจัยและผลิตได้ภายในสิ้นปี 2563 กระจายในวงกว้างได้ภายในปี 2564
หน้า 21-22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,567 วันที่ 19-22 เมษายน 2563