นายสุรช ลํ่าซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า
ล็อกซเล่ย์ ได้ดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ทั้งผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจโลกและภายในประเทศ การแข่งขันที่รุนแรง และกระแสดิจิทัล ดิสรัปชัน ตลอดจนแก้ปัญหาขาดทุนของบริษัทที่มีตัวเลขขาดทุนในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา 800 ล้านบาท ที่มีสาเหตุหลักมาจากโครงการสายพานลำเลียง ที่ทำให้ AOT มีการเปลี่ยนแปลงแบบของโครงการ, เปลี่ยนแปลงอุปกรณ์หลักที่มีนัยสำคัญ และการส่งมอบพื้นที่ล่าช้า
“เราจำเป็นต้องปรับตัวไม่อย่างนั้นอยู่ไม่ได้ โลกเปลี่ยน ธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับพฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนไป วันนี้บางธุรกิจของเราได้รับผลกระทบจากไลน์แมน และแกร็บฟู้ด”
การปรับโครงสร้างองค์กรที่ชัดเจน ได้แก่ การปรับโครงสร้างคณะกรรมการ จากเดิมที่มีคณะกรรมการบริหาร 3 คณะ คือ คณะกรรมการจัดการ คณะกรรมการบริหาร และคณะกรรมการบริษัท มาเป็นโครงสร้างใหม่คือ การควบรวมคณะกรรมการจัดการและคณะกรรมการบริหารเข้าด้วยกัน พร้อมกับลดจำนวนคณะกรรมการ
นอกจากนี้ยังได้ปรับลดเงินเดือนผู้บริหารลง 35% และลดจำนวนพนักงานเหลือ 600 คน จากเดิม 750 คน ผลักดันคนรุ่นใหม่ขึ้นมาบริหาร เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างองค์กรและการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป การลดความซํ้าซ้อนของงาน เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร และปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น โดยคาดว่าปี 2563 บริษัทจะสามารถลดค่าใช้จ่ายไปประมาณ 200 ล้านบาท
บริษัทยังได้จัดตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการและการลงทุนขึ้นมาใหม่ ทำหน้าที่ในการพิจารณาการลงทุนและการเข้าประมูลในโครงการต่างๆ โดยมุ่งเน้นเฉพาะธุรกิจหลักที่มีความเชี่ยวชาญ และทำกำไรได้อย่างแท้จริง เพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ
นายสุรช กล่าวต่อไปว่าสำหรับบริษัทที่มุ่งเน้น คือ กลุ่มไอที ผ่านบริษัท ล็อกซบิท จำกัด (มหาชน) ที่ให้บริการไอทีโซลูชันกับโครงการภาครัฐ และธุรกิจการเงินการธนาคาร เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพ และมีโครงการที่มีโอกาส และแบ็กล็อก อยู่ 7,000-8,000 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจอาหารและการจัดจำหน่าย โดยจะมุ่งเน้นช่องทางการกระจายอาหารมากขึ้น ส่วนจัดจำหน่าย บริษัท ล็อกซเล่ย์ เทรดดิ้งฯ ยังคงเป็นแกนหลักขายสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งธุรกิจกลุ่มนี้สร้างรายได้ให้บริษัท 20%
ธุรกิจบริการรักษาความปลอดภัยภายใต้บริษัทรักษาความปลอดภัย เอเอสเอ็ม แมเนจเมนท์ จำกัด (ASM) โดยได้บริหาร 2 สนามบินหลักของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) คือ สุวรรณภูมิ และภูเก็ต รวมถึงสนามบินกระบี่ และอุดรธานี อย่างไรก็ตาม AOT จะเข้ามาดูแลด้านระบบรักษาความปลอดภัยสนามบินเอง ภายใต้ บริษัทรักษาความปลอดภัย ท่าอากาศยานไทย จำกัด (AOT AVSEC) ซึ่งบริษัทได้เข้าไปถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว 40%
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มธุรกิจพลังงาน ผ่านบริษัทล็อกซเล่ย์ เพาเวอร์ ซิสเต็มส์ จำกัด โดยให้บริการวางสายส่ง และเป็นผู้รับเหมาออกแบบ การบริหารจัดการโรงไฟฟ้า (EPC) โดยบริษัทดังกล่าวมีโอกาสเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า
สุดท้าย คือ กลุ่มเน็ตเวิร์กโซลูชัน โดยล็อกซเล่ย์ เป็นผู้ให้บริการเปลี่ยนเครื่องส่งสัญญาณโทรทัศน์เป็นดิจิทัลให้กับช่อง 5, 9, 11 ซึ่งกลุ่มธุรกิจยังมีโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงระบบวิทยุ ไปสู่ดิจิทัลเรดิโอ
บาท หน้า 15 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3533 วันที่ 22-25 ธันวาคม 2562