แหล่งข่าวผู้ประกอบการประมง เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ในวันที่ 10 ม.ค. นี้ ทางคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานในงานประมง พ.ศ. .... สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นัดสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ร่วมประชุมพิจารณาร่างกฎหมายฯ ในวันที่ 10 ม.ค. 2562 เวลา 09.30 น. ณ ห้องรับประทานอาหารสมาชิกรัฐสภา ชั้น 2 อาคารรัฐสภา 1 สาระสำคัญร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ต้องการให้มีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานในงานประมง จึงจำเป็นสมควรกำหนดหน้าที่เจ้าของเรือและการปฎิบัติหน้าที่ของแรงงานประมงให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อคุ้มครองสิทธิของแรงงานประมงและป้องกันการบังคับใช้แรงงานในงานประมงที่มีความแตกต่างจากการทำงานของลูกจ้างทั่วไป เนื่องจากมีความเสี่ยงภัยทางทะเลและมีระยะเวลาการทำงานที่ต่อเนื่องเป็นเวลานาน อันเป็นการส่งเสริมและเพิ่มความสามารถในการประกอบกิจการประมงของประเทศ ตลอดจนเพื่อเป็นการอนุวัติการให้เป็นไปตามอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทำงานในภาคการประสง ค.ศ. 2007 จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
ด้าน
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ทางองค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ไอแอลโอ ได้นัดรัฐบาลไทยจะไปลงนามอนุสัญญาฯ 188 ในวันที่ 30 ม.ค. 2562 ระหว่างนี้ได้มอบหมายให้ นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานคณะทำงาน โดยให้ นายวิวัฒน์ จิระพันธุ์วานิช รองปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นเลขานุการ จัดตั้งคณะทำงานชุดเล็กเพื่อประชุมพิจารณาตอบข้อเรียกร้องของสมาคมประมง 22 จังหวัดชายทะเล ทั้ง 14 ข้อ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้แทนทุกกรมในสังกัดกระทรวงแรงงาน กรมประมง กรมเจ้าท่า กรมการแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และผู้แทนสมาคมประมงจาก 22 จังหวัด ให้ได้ข้อสรุปเป็นรูปธรรมภายใน 1 เดือน
ใน 14 ข้อ ประกอบด้วย
1.การจ่ายเงินเดือนผ่านตู้เอทีเอ็ม ซึ่งเป็นปัญหาและสร้างภาระให้กับนายจ้าง/ลูกจ้าง และการแก้ไขกฎหมายให้สามารถจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าได้
2.นิยามของเรือประมงเพื่อยังชีพยังไม่ชัดเจน เรือประมงพื้นบ้านจะต้องถูกบังคับใช้ตามกฎหมายด้วยหรือไม่
3.การเปิดโอกาสให้สามารถซื้อประกันสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขควบคู่กับประกันของภาคเอกชน ทดแทนการเข้าอยู่ในระบบประกันสังคม
4.อัตราการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทน และการเรียกเงินคืนจากกองทุนฯ กรณีลูกจ้างอยู่ไม่ครบปี
5.การจัดที่พักอาศัยบนเรือประมง จะบังคับใช้กับเรือต่อใหม่ที่มีดาดฟ้าและมีขนาด 300 ตันกรอสขึ้นไปเท่านั้น
6.แนวทางและประเภทเรือที่ต้องขอใบรับรองการตรวจสภาพเรือ 7.ความเหมาะสมเกี่ยวกับปริมาณและคุณภาพของอาหารและเครื่องดื่ม
8.การเปิดโอกาสให้บุคคลอายุ 16 ปีขึ้นไป สามารถฝึกงานในเรือประมงได้ 9.การกำหนดเงื่อนไขการส่งตัวแรงงานกลับประเทศต้นทาง โดยเฉพาะกรณีที่ลูกจ้างเป็นฝ่ายผิด นายจ้างไม่ควรต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
10.การนำเข้าแรงงานตาม MOU ใช้เวลานาน มีภาระค่าใช้จ่าย ขอให้ควบคุมปัญหาแรงงานต่างด้าวหลบหนีจากนายจ้าง
11.แรงงานตรวจสุขภาพประจำปีอยู่แล้ว ไม่เห็นด้วยหากกระทรวงสาธารณสุขจะมีการเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มในการตรวจสายตาและการได้ยิน และขอให้จัดทำคู่มือ/แนวปฏิบัติในการส่งต่อผู้ป่วย
12.การนับชั่วโมงพักและการกำหนดชั่วโมงพัก ให้สอดคล้องกับสภาพการทำงานบนเรือประมงแต่ละประเภท
13.ขอให้แก้ไขความซ้ำซ้อนของกฎหมายเกี่ยวกับบัญชีรายชื่อลูกเรือ และ
14.การกำหนดอัตรากำลังในเรือ ควรกำหนดเป็นอัตรากำลังขั้นสูงสุดที่สามารถออกไปทำการประมงได้
นายวิชาญ เอกชัยศิริวัฒน์ ที่ปรึกษาสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย เผยว่า เป็นที่ทราบกันดีว่า รัฐบาลไทยได้ปักธงชัดเจนว่า จะต้องให้สัตยาบันอนุสัญญาแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทำงานงานในภาคประมง (ILO C188) โดยได้ขอรับความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ทำหน้าที่รัฐสภาในปัจจุบัน เพื่อรับรองการให้สัตยาบันอนุสัญญาแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทำงานงานในภาคประมง (ILO C188) ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ให้ความเห็นชอบแล้ว เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2561 ท่ามกลางความเห็นคัดค้านของชาวประมงไทยทั่วประเทศไปแล้ว
"คำถามที่เกิดขึ้นในใจของผม คือ เมื่อเป็นอย่างนี้ เราจะทำอะไรได้ ซึ่งก็มีคำตอบอยู่ 2 ทาง ซึ่งได้แก่ 1.สู้ต่อไปแบบหัวชนฝา และ 2.เจรจาหาทางออกให้เกิดผลกระทบต่อชาวประมงให้น้อยที่สุด ผมเลือกทั้ง 2 ทาง คือ เลือกทางที่ 2 ก่อน ถ้าไม่สำเร็จจะกลับมาเอาทางที่ 1 เพราะจะเป็นทางออกให้กับทั้งชาวประมงและรัฐบาล แบบที่ฝรั่งเรียกว่า
"Win Win Situation" ซึ่งวันนี้ผมใช้ทางเลือกที่ 1 และถือได้ว่า ข้อเสนอของเราชาวประมงได้รับการยอมรับจากท่านรัฐมนตรีแรงงานและที่ประชุมเป็นอย่างดีเกินคาด"
"พวกเราจะมีเวลาประมาณ 1 เดือน ในการทำงานเพื่อให้เกิดความชัดเจนถึงข้อกฎหมายต่าง ๆ ที่ประเทศไทยจะต้องบัญญัติให้สอดรับกับอนุสัญญาให้เป็นที่ยอมรับของชาวประมงทั่วประเทศ โดยท่านรัฐมนตรีจะตั้งคณะทำงาน ซึ่งประกอบด้วย ตัวแทนชาวประมงจำนวน 7 คน เข้าเป็นคณะทำงาน ร่วมกับหน่วยราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการหลัก รวม 4 หน่วยงาน คือ กระทรวงแรงงาน กรมเจ้าท่า กรมประมง และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งคณะทำงานที่ตั้งขึ้นจะต้องเร่งดำเนินการหาข้อยุติให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย รวมทั้งชาวประมงด้วย ก่อนการที่รัฐมนตรีจะไปยื่นสัตยาบันสารในปลายเดือนหน้า"
นายวิชาญ กล่าวอีกว่า ในส่วนของกระทรวงแรงงาน อนุสัญญาฯ ILO C188 จะเกี่ยวข้องกับสวัสดิการและการคุ้มครองแรงงาน รวม 14 ประเด็น ซึ่ง 10 ประเด็น ได้มีการบัญญัติไว้ในกฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล พ.ศ. 2557 และกฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 แล้ว ยังคงเหลืออีก 4 ประเด็น ที่จะต้องออกกฎหมายเพิ่มเติม ซึ่งผมได้เสนอให้ท่านรัฐมนตรีดำเนินการใน 3 เรื่อง คือ 1.นำกฎหมายที่เกี่ยวกับการจ้างแรงงานประมงและการคุ้มครองแรงงานมาเขียนรวมไว้ในฉบับเดียว โดยให้สอดรับกับอนุสัญญาฯ 2.บทบัญญัติใดที่เขียนในกฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเลทั้ง 2 ฉบับ เกินกว่าที่อนุสัญญาฯ บัญญัติ ให้ยกเลิกและเขียนใหม่ให้สอดรับกับอนุสัญญาฯ 3.การบังคับใช้กฎหมายนี้ให้ใช้บังคับกับเรือทุกลำอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ซึ่งในหลักการ ท่านรัฐมนตรีก็เห็นชอบด้วย โดยในส่วนนี้ชาวประมงจะได้รับความชอบธรรมคืนมาหลายประเด็น เช่น อายุขั้นต่ำของแรงงานประมง การจ่ายค่าจ้าง การติดต่อสื่อสารของเรือประมงนอกน่านน้ำ ฯลฯ
4.ภายใต้ร่างกฎหมายใหม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ (ร่างมาตรา 13 และมาตรา 22) มีความชัดเจนแล้วว่า ในส่วนของที่พักและความอำนวยสะดวกสบายของลูกเรือ เช่น การรื้อโครงสร้าง การจัดห้องพัก การจัดห้องน้ำ ห้องสันทนาการ ฯลฯ เรือประมงไทยทุกลำและทุกขนาดที่มีอยู่ในปัจจุบันจะไม่ได้รับผลกระทบ ดังนั้น ข้อกังวลที่มีอยู่ก็จะหมดไป คงมีเพียงเรือประมงที่จะต่อใหม่ทดแทนเรือเก่าในอนาคต ที่มีขนาดมากกว่า 300 ตันกรอส จะต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายใหม่ที่จะออกโดยกรมเจ้าท่า ซึ่งจะต้องหาข้อยุติภายใน 1 เดือน เช่นเดียวกัน โดยในประเด็นนี้ผมเสนอให้กรมเจ้าท่าออกแบบเรือประมงตามร่างแก้ไขข้อบังคับของกรมเจ้าท่าที่จะออกตามอนุสัญญาฯ ให้ชาวประมงเห็นว่า จะสามารถทำการประมงได้ และยอมรับได้สำหรับการต่อขึ้นใหม่เพื่อทดแทนในอนาคต หากเรือที่มีอยู่ในปัจจุบันเกิดการชำรุดเสียหาย (ถ้าเรื่องนี้จบผลกระทบจากการให้สัตยาบันอนุสัญญาแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทำงานงานในภาคประมง (ILO C188) นี้ ก็จะกระทบต่อชาวประมงไทยน้อยที่สุด)
5.ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรมประมงและสาธารณสุข ปัญหาน่าจะมีอยู่เพียงประเด็นของการตรวจสุขภาพของลูกเรือที่ต้องมีค่าใช้จ่าย ซึ่งคาดว่าน่าจะหาข้อยุติได้โดยไม่ยาก และ 6.ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรือประมงต่างชาติที่อนุสัญญาฯ นี้ ให้อำนาจรัฐบาลไทยในการตรวจเรือกรณีที่เข้ามาเทียบท่าในประเทศไทย ขอให้รัฐบาลดำเนินการยกร่างข้อบังคับในการตรวจเรือและแรงงานตามอนุสัญญาฯ ทั้งในฐานะของรัฐเจ้าของธงและรัฐเจ้าของท่าให้เป็นที่เรียบร้อย เพื่อให้เห็นว่า รัฐบาลไทยจะดำเนินการต่อเรือประมงสัญชาติอื่นอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม
"ผมจึงหวังว่า ผลการประชุมในวันนี้จะนำไปสู่บทสรุปในอีก 30 วันข้างหน้า ที่ได้รับการยอมรับของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง คือ รัฐ ชาวประมง ลูกเรือ และองค์การระหว่างประเทศ โดยเป็นแบบ
"Win Win Situation" แม้ว่าในใจผมจะยังยืนยันว่า
"ประเทศไทยไม่ควรยอมรับอนุสัญญาแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทำงานในภาคประมง (ILO C188)" ก็ตาม ท่ามกลางปัญหาวิกฤติมีเสียงนกเสียงกาพูดถึงเรื่องการเมือง ผมไม่สนใจครับ ใครจะได้ ใครจะเสีย ผมขออย่างเดียว อย่าให้ชาวประมงต้องเสียไปมากกว่านี้
เพราะเราเสียมามากแล้ว" นายวิชาญ กล่าวในตอนท้าย
[caption id="attachment_370103" align="aligncenter" width="335"]
[/caption]
คลิกเปิดร่างกฎหมายฉบับเต็มที่จะพิจารณาในวันที่ 10 ม.ค. 2562 (
ร่างกฎหมายแรงงานประมง)