"มิลค์บอร์ด" แทรกประชุมวาระลับ 4.1 เปิดผลสอบสวนกองปราบฯ ส่อพิรุธเพียบ ทั้งวางบิลใบเสร็จแทน ชำระหนี้จากสหกรณ์หนึ่งไปยังสหกรณ์หนึ่ง กังขาสงสัยพฤติกรรม เล็งแจ้งน้ำนมเท็จ ส่งเชือด หวังให้ถอดจากโครงการนมโรงเรียน 1.4 หมื่นล้าน ด้าน วงในถกปมร้อนจนตกผลึกข้อสรุป ยุติ! ไม่ฟันเอาผิด ชี้โพรงให้ฟ้องดำเนินคดีเอง
แหล่งข่าวคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ผลจากการประชุมคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม หรือ มิลค์บอร์ด (24 ธ.ค. 61) มีนางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในที่ประชุม ได้มีการพิจารณาวาระลับ 4.1 เรื่อง
"แจ้งผลการตรวจสอบหลักฐานการซื้อขายน้ำนมโคของศูนย์รวบรวมน้ำนมโค/ผู้ประกอบการตามเอ็มโอยู ปี 2559/2560" ที่ใช้งบประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาทต่อปี พร้อมแนบหลักฐานต่าง ๆ มานั้น สาระสำคัญ ก็คือ
จากกรณีที่ นายกิตติศักดิ์ เกียรติไกรวัลศิริ นายกสมาคมผู้ผลิต ยู เอช ที มาขอร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม เพื่อให้สืบสวนสอบหาตัวผู้กระทำผิดกรณีการจัดทำปริมาณน้ำนมโคในการซื้อขายระหว่างผู้ประกอบการกับศูนย์รวบรวมน้ำนมโค (เอ็มโอยู) ปี 2559/2560 เพื่อให้ได้ปริมาณจำนวนน้ำนมโคในการซื้อขายอันเป็นเท็จ หรือ ไซฟ่อนนมโรงเรียน เพื่อนำไปแสดงและขอจัดสรรสิทธิต่อเจ้าพนักงานในการขอนำเข้านมผงขาดมันเนยในอัตราภาษีศุลกากรต่ำในโควตาที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ และผู้ประกอบการบางรายนำปริมาณน้ำนมโคอันเป็นเท็จ ไม่มีการซื้อขายจริง ไปแสดงต่อพนักงานเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิในการเข้าร่วมโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนน จนเป็นเหตุให้รัฐได้รับความเสียหาย ได้ภาษีต่ำกว่าที่ควรจะได้รับ รวมทั้งทำให้เกิดปัญหาต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมที่มีน้ำนมโคจริง ไม่สามารถจำหน่ายได้ เพราะถูกกีดกัน เหตุเกิดระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2559 ถึงเดือน พ.ค. 2560
จากการตรวจสอบเอกสารพบว่า มี 2 บริษัท ที่มีพฤติการณ์ของบริษัทเป็นการค้าผิดปกติวิสัย เข้าข่ายการกระทำรายงานเป็นเท็จให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ หรือ ไม่ปฎิบัติตามหลักเกณฑ์ประกาศของมิลค์บอร์ดหรือไม่
1.กรณีพิรุธของ บริษัท ธวัชฟาร์ม จำกัด ได้ซื้อน้ำนมดิบจาก บริษัท เขาใหญ่แดรี่ จำกัด เดือน มี.ค. 2560 รายงานซื้อ 7.495 ตัน/วัน ผลตรวจสอบ 7.022 ตัน/วัน บริษัทรายงานซื้อมากกว่าผลตรวจสอบ 0.473 ตัน/วัน รวมทั้งเดือน เม.ย. รายงานซื้อมากว่าผลตรวจสอบ 1.97 ตัน/วัน นอกจากนี้ มีการซื้อน้ำนมดิบนอกเอ็มโอยูจากสหกรณ์โคนมอุบลราชธานี เดือน ธ.ค. 2560 รายงานซื้อ 0.099 ตัน/วัน ผลตรวจสอบ 0.056 ตัน/วัน บริษัทรายงานผลซื้อมากกว่าตรวจสอบ ขณะที่ เดือน ม.ค. 2560 รายงานซื้อ 0.089 ตัน/วัน ผลตรวจสอบ 0.110 ตัน/วัน บริษัทรายงานซื้อน้อยกว่าผลตรวจสอบ 0.021 ตัน/วัน
"น้ำนมดิบที่ซื้อจากห้างหุ้นส่วนจำกัดส่งเสริมกิจการโคนมกาญจนบุรี คือ น้ำนมดิบที่ บริษัท ธวัชฟาร์ม จำกัด ซื้อแล้วนำไปจ้าง บริษัท แมรี่แอนด์ แดรี่ โปรดักส์ จำกัด ผลิตนมกล่องยูเอชที การชำระเงินของ บริษัท ธวัชฟาร์ม จำกัด จะชำระเงินเป็นค่านมกล่องยูเอชที โดยจ่ายเป็นเช็คธนาคารให้กับ บริษัท แมรี่แอนด์ แดรี่โปรดักส์ จำกัด ซึ่งห้างหุ้นส่วนจำกัดส่งเสริมกิจการโคนมกาญจนบุรีกับ บริษัท แมรีแอนด์ฯ เป็นเจ้าของคนเดียวกัน
จากเอกสารดังกล่าวนี้ พนักงานสอบสวนพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณี บริษัท ธวัชฟาร์ม จำกัด ซื้อน้ำนมดิบจาก บริษัท ใหญ่แดรี จำกัด เดือน มี.ค. บริษัทรายงานซื้อมากกว่าผลตรวจสอบ 0.473 ตัน/วัน หากคิดเป็น 1 เดือน ปริมาณรวม 14.19 ตันต่อวัน เดือน เม.ย. รายงานซื้อมากกว่าผลตรวจสอบ 1.971 ตันต่อวัน หากคิดเป็น 1 เดือน ปริมาณรวม 59.13 ตัน ซึ่งปริมาณนมเป็นจำนวนมาก การกล่าวอ้างบวกตัวเลขผิดพลาดอย่างบ่อยครั้งและปริมาณความผิดพลาดจำนวนมาก เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่มีน้ำหนักรับฟังได้
2.กรณี บริษัท วารินทร์มิลค์ จำกัด ซื้อน้ำนมโคจาก บริษัท กลุ่มพัฒนาโคนมซับสนุ่น จำกัด ซึ่งเป็นผู้ขายน้ำนมโคเอ็มโอยู รวม 6,512,070 กิโลกรัม โดยแยกเป็นรายการซื้อขายตามข้อ 2.1 น้ำนมโค จำนวน 5,417,280 กิโลกรัม ขายให้ บริษัท แมรี่แอนด์ โปรดักส์ จำกัด โดยใช้ใบส่งของ/แจ้งหนี้/ใบวางบิล ของ บริษัท กลุ่มพัฒนาโคนมซับสนุ่น จำกัด ไม่ใช้ใบส่งของ บริษัท วารินทร์มิลค์ จำกัด ส่วนน้ำนมโค จำนวน 33,530 กิโลกรัม ขายให้ บริษัท คันทรีเฟรช แดรี่ จำกัด โดยใช้ใบส่งของ/แจ้งหนี้/ใบวางบิล ของบริษัท กลุ่มทุนพัฒนาโคนมซับสนุ่น จำกัด ไม่ใช้ใบส่งของ บริษัท วารินมิลค์ จำกัด เมื่อพิจารณาแล้วผลการตรวจสอบ 2 บริษัท ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย ไม่สามารถจะชำระบัญชีร่วมกันได้ ดังนั้น จึงมองว่ามีพิรุธน่าสงสัยในพฤติกรรมดังกล่าว จึงให้ทางมิลค์บอร์ดพิจารณาลงโทษ 2 บริษัทดังกล่าวนี้ด้วย
แหล่งข่าวมิลค์บอร์ด กล่าวว่า จากข้อมูลดังกล่าวเห็นว่า ที่ประชุมมีมติเห็นว่า ไม่มีพิจารณาลงโทษ หรือ ให้ความเห็นใดใดทั้งสิ้น เนื่องจาก 2 บริษัท ได้รับการจัดสรรโควตานมโรงเรียนน้อยมาก อยู่ในหลักพันถึงหมื่นถุงต่อวัน ถ้าหากกองปราบฯ ประสงค์ที่จะให้มีความผิด ก็ให้ไปฟ้องร้องกันเอาเอง