ทางเลือกที่3แก้ยางตก ‘รุ่งโรจน์’การันตี แก้ได้
Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่
จากปัญหาราคายางตกต่ำอย่างต่อเนื่อง และกำลังส่งผลให้เกษตรกรในระบบราว 6.6 ล้านครัวเรือน ได้รับผลกระทบและเดือดร้อนอย่างมากในเวลานี้ ที่ผ่านมาแม้รัฐบาลจะออก 16 มาตรการบริหารจัดการยางพาราทั้งระบบ และกำลังรื้อฟื้นมาใหม่ในรอบ 2(ปัจจุบันเหลือ 15 มาตรการ) เพื่อดึงราคายางในประเทศทั้งระบบ แต่ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าจะช่วยทำให้ราคาในประเทศให้สูงขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ระหว่างที่รัฐบาลกำลังเร่งแก้ไขปัญหาราคายางนี้
"ฐานเศรษฐกิจ" ได้สัมภาษณ์พิเศษ "รุ่งโรจน์ เหมันต์สุทธิกุล" ประธานกรรมการบริษัท เพาว์เวอร์ ยูนิตี้ จำกัด ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก 2 รัฐวิสาหกิจจีนได้แก่ ซีเมค (Cmec) และปักกิ่งเกรนกรุ๊ป ให้เป็นผู้ประสานงานและอยู่ในระหว่างเจรจากับรัฐบาลไทยเพื่อร่วมค้ายางในรูปแบบ "การค้าร่วมทุน" (เป้าหมาย 4 แสนตัน มูลค่า 2 หมื่นล้านบาทต่อปี) ซึ่งถือเป็นทฤษฎีทางเลือกที่ 3 ที่จะแก้วิกฤติราคายางได้แบบยั่งยืน
โมเดลใหม่ แก้ปัญหาราคายาง
"รุ่งโรจน์" กล่าวว่า การแก้ปัญหาสินค้าเกษตรตกต่ำ ในหลายประเทศซึ่งรวมทั้งไทยส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับการรับจำนำ หรือประกันราคาเป็นสูตรสำเร็จในการแก้ไขปัญหา แต่ความเป็นจริงแล้วยังมีอีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้ในรูปแบบ "การค้าร่วมทุน" โดยใช้กลไกของรัฐวิสาหกิจเป็นตัวขับเคลื่อน ปัจจุบันมีหลายประเทศที่ใช้วิธีนี้ในการบริหารสินค้าเกษตรไม่ให้ราคาตกต่ำ และเป็นกลไกสำคัญที่จะแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรได้อย่างยั่งยืน อาทิ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และจีน เป็นต้น
ทั้งนี้ในรูปแบบวิธีการแก้ไขปัญหาราคายางในรูปแบบการค้าร่วมทุนจะต้องมีการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อทำธุรกิจยางพารา โดยบริษัทนี้จะคล้ายกับการยางแห่งประเทศไทย หรือ กยท. จะทำหน้าที่ซื้อยางพาราในประเทศ ราคาที่ซื้อขายในประเทศเป็นราคาต่ำบ้างสูงบ้าง แล้วนำไปขายที่ปลายทางเอง ซึ่งในช่วงแรกอาจจะขาดทุนบ้าง แต่เป้าหมายหลักก็คือต้องการให้สินค้าเกษตรในประเทศไม่ให้มีปัญหาราคาตกต่ำ
"วิธีนี้ข้อดีคือ 1. ปัญหาราคาสินค้าภายในประเทศจะนิ่งทันที 2.ไม่ต้องมาบริหารสต๊อก 3. สิ่งที่จะได้ตามมาคือตลาด แต่ทุกวันนี้เราเป็นผู้ผลิตที่รอพ่อค้าคนกลางมาทำงาน วันนี้ก็เลยตายสนิท ยางผลิตมากี่แสนตัน ต้องรอบริษัทใหญ่ส่งออก แต่วิธีการนี้คือ คุณจะต้องไปขายยางที่เมืองจีนเอง โดยผมดึงคู่ค้าจาก 2 รัฐวิสาหกิจจีน ได้แก่ ปักกิ่งเกรนกรุ๊ป เป็นรัฐวิสาหกิจใหญ่ระดับชาติ ส่วนซีเมค เป็นรัฐวิสาหกิจระดับมณฑล ซึ่ง 2 รัฐวิสาหกิจนี้ มีศักยภาพสูงมากทั้งด้านโลจิสติกส์ท่าเรือและคลังสินค้า และที่สำคัญมีสถานะทางการเงินที่ดีมากระดับหลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ดังนั้นหากจะมาทำธุรกิจแค่ไม่กี่หมื่นล้านหรือแสนล้านบาทถือว่าเล็กน้อยมาก และสาเหตุที่ต้องการมาค้าร่วมกับไทย ด้านหนึ่งรัฐวิสาหกิจจีนเองก็ต้องการสร้างผลงาน เพราะหากไม่สร้างผลงานจะถูกลดวงเงินเรื่อยๆจากธนาคาร ดังนั้นการที่มาร่วมกับไทยนอกเหนือจากได้ผลงานแล้ว ในอนาคตรัฐบาลจีนอาจจะเพิ่มวงเงินในธนาคารให้กับรัฐวิสาหกิจนั้นๆ ดังนั้นจึงแทบจะไม่สนใจกำไรด้วยซ้ำไป เพราะมองเป็นธุรกิจเล็กแต่เป็นผลงานที่ต่อยอดถึงธุรกิจใหญ่ นี่แหละเป็นเหตุผลการทำธุรกิจที่วิน-วิน ทั้ง 2 ฝ่าย"
โอเวอร์ซัพพลาย เน้นชิงขายก่อน
ปัจจุบันจะเห็นว่าผลผลิตยางพาราทั่วโลกโดยเฉลี่ยมีปริมาณรวมกันถึง 11 ล้านตันต่อปี ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย รวมกันกว่า 9 ล้านตัน และเวียดนาม อินเดียและอื่นๆรวมกันที่ 2 ล้านตัน ขณะที่จีน ประเทศผู้ใช้รายใหญ่ของโลก มีความต้องการที่ 4.8 ล้านตัน หรือประมาณกำลังการผลิตล้อยางที่ 560 ล้านเส้น ในปี 2559 ส่วนไทยมีผลผลิตยางสู่ตลาดเฉลี่ยปีละ 3ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 3.1 แสนล้านบาท สิ่งแรกที่จะต้องทำก็คือขายทุกวัน เพราะสินค้าโอเวอร์ซัพพลาย ที่ผ่านมาทุกประเทศได้มีการส่งเสริมให้ปลูกยางพาราขึ้นเป็นจำนวนมาก นี่คือเหตุผลที่จะต้องไปทำการตลาด ธุรกิจนี้ใครขายก่อนชนะ เพราะฉะนั้นคนที่จะไปขายก็ต้องมีทีมขายปลายทาง ดังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องพึ่ง 2 รัฐวิสาหกิจนี้ เพราะถ้าไม่มีก็ไปไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องมีทีมขายปลายทาง
"ทำไมทุกวันนี้คนจีนเต็มประเทศไทยเลย เพราะได้กำไรฝั่งโน้นแล้ว ก็ต้องมาหาฝั่งทำกำไรด้านวัตถุดิบ จึงเห็นว่ามาดำเนินธุรกิจสวนยางพารา ลงทุนโรงงานต่างๆ เพราะต้องการสร้างตลาดที่มั่นคงของตัวเองขึ้นมา เปรียบเทียบกับไทยหลายสิบปีที่ผ่านมาเราไม่เคยดำเนินการด้านดังกล่าวเลย จึงทำให้ไทยในฐานะผู้ผลิตถูกเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง ดังนั้นเพื่อการแก้ปัญหายางทั้งระบบของไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้ามาบริหารการตลาด สินค้าปลายทาง โดยเฉพาะประเทศจีน เพื่อเป็นการแก้ปัญหายางพาราอย่างยั่งยืน เพราะนอกเหนือจากจะสามารถกำหนดแผนงานในด้านการผลิตโดยใช้ตลาดเป็นตัวนำแล้ว ยังสามารถทำกำไรได้เพิ่มทั้งจากการจัดการบริหารอัตราแลกเปลี่ยน และ กำไรจากการขายปลายทางด้วย"
จัดตั้งองค์กรร่วมค้าไทย-จีน
สำหรับการค้ายางพาราไทย-จีน นั้นจะดำเนินการบริหาร บุคลากร ร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย ฝั่งไทยอาจจะใช้สำนักงาน กยท. ส่วนฝั่งจีน อาจจะตั้งสำนักงานขึ้นมาใหม่ หรือในบริษัทใดบริษัทหนึ่งก็ได้ โดยบุคลากรของ กยท.บางส่วนจะต้องไปประจำอยู่ที่จีน และบุคลากรจีนเองก็จะต้องมาอยู่ฝั่งไทย เพื่อจะทำงานร่วมกัน โดยฝ่ายไทยจะเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบป้อนให้ 2 รัฐวิสาหกิจจีนจะทำหน้าที่ฝ่ายขาย ที่จะติดต่อผู้ซื้อ อาทิ โรงงานผลิตล้อรถยนต์ โรงงานถุงมือยางอนามัยและถุงมือยาง โรงงานยางยืด โรงงานเตียง และตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า จนกระทั่งซื้อขายระยะหนึ่ง จะทำให้ กยท.พอจะทราบถึงทิศทางในการตลาดฝั่งจีนแล้วก็จะเข้าสู่ระยะที่ 2 ต้องไปลงทุนซื้อหุ้น ตามบริษัทต่างๆ ในโรงงานที่เกี่ยวกับยางพาราทั้งระบบ ซึ่งอนาคตจะเสนอให้โรงงานต่างๆ เหล่านี้อย่างน้อยจะต้องใช้วัตถุดิบส่วนหนึ่งจากประเทศไทย ภาพโครงสร้างองค์กร ในการบริหารการตลาดยาง ของ กยท. ลำดับชาร์ตสูงสุด กยท. รองลงมา กยท.ในจีน ลำดับลงมาเป็นพวกโรงงานต่างๆ ที่ กยท.เข้าไปร่วมดำเนินธุรกิจซื้อขายยางด้วย คาดว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 10 โรงงานที่ 2 รัฐวิสาหกิจจะไปช่วยเปิดให้ตลาดให้
ทั้งนี้เป้าหมายที่จะส่งไปขายยางพารา จำนวน 4 แสนตัน/ปี (ผลผลิตยางใหม่เท่านั้น) โดยมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท จะช่วยเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายทางตรงทั้งโรงงานล้อรถยนต์ สายพาน ไม่น้อยกว่า 150 แห่ง ยังได้พันธมิตรเพิ่มทางธุรกิจ ที่คาดว่าไม่ต่ำกว่า 10 โรงงานเพื่อเป็นการรับประกันการระบายผลผลิตแบบยั่งยืน ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี 2558 ถึง ธันวาคม 2559 ในเรื่องการค้าร่วมทุนนี้ ก่อนหน้านี้ได้เริ่มคุยกับรัฐบาลไทยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2558 แต่ปรากฏว่าไปเจรจากันหลายรอบไม่เข้าใจ ตั้งคำถามเพียงอย่างเดียวว่าจะได้กำไรเท่าไร
"จะได้กำไรเท่าไหร่มองว่าคุณตั้งคำถามผิด แต่ควรมองที่วิธีการว่าจะทำอย่างไรในช่วงซัพพลายล้นขนาดนี้ คุณจะต้องขายก่อน แล้วรีบหมุนรอบซื้อขายให้เร็ว แล้วรัฐบาลช่วยเหลือชดเชยการขาดทุนให้ วิธีนี้จะแก้ปัญหาราคายางระยะสั้นอย่างเร่งด่วน ส่วนที่ให้ 8 กระทรวงหลักมาซื้อยางไปใช้ ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาระยะกลาง ถามว่าจะช่วยกันซื้อได้เท่าไร เพราะความต้องการยางโลกอยู่ที่จีนสัดส่วน 90% และการแก้ปัญหาระยะยาวคือการสร้างรับเบอร์ซิตีเดินมาถูกทางแล้ว"
ราคาในจีนยังยืนพื้น
ส่วนราคายางพาราตกต่ำในประเทศไทยจนเกษตรกรอยู่ไม่ได้ แต่ทราบหรือไม่ว่า ราคายางแผ่นในประเทศจีนยังคงยืนพื้นอยู่ที่กิโลกรัมละ 45 บาท นี่คือเหตุผลหลักที่เราไม่ได้ไปบริหารการตลาดในสินค้าปลายทาง ได้แต่อาศัยเพียงพ่อค้าคนกลาง บริษัทของไทยรายใหญ่ก็เป็นเพียงแค่ผู้ส่งออกเท่านั้น แม้แต่ชิโนเคม ก็เป็นเพียงพ่อค้าคนกลางเท่านั้น ยิ่งราคาต่ำเท่าไร ยิ่งได้กำไรมากขึ้น ดังนั้นการที่ยางพาราราคาตกและมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องจะต้องรีบซื้อยางตรึงราคาทันที ยกตัวอย่างวันนี้ราคายางแผ่น ชั้น 3 ราคาอยู่ที่ 32-33 บาทต่อกิโลกรัม หาก 2 รัฐวิสาหกิจจีนโอนเงินให้ 1 หมื่นล้านบาท จะรับซื้อยาง กิโลกรัมละ 38 บาทได้ทันที ส่งไปขายยางที่จีนอาจจะขาดทุนแค่ 1-2 บาทเท่านั้นและซื้อทุกวันไปเรื่อยๆ ถามว่าราคายางจะปรับตัวขึ้นหรือไม่ แนวโน้มจากขาดทุนพลิกเป็นกำได้ในอนาคต
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,122 วันที่ 14 - 16 มกราคม พ.ศ. 2559