ใช้การท่องเที่ยว กลับมากระตุ้นเศรษฐกิจเมียนมา

02 ต.ค. 2565 | 21:30 น.

คอลัมน์เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

ช่วงอาทิตย์นี้มีแฟนคลับหลายท่านทั้งโทรศัพท์และไลน์เข้ามาสอบถามผม ถึงสถานการณ์ในประเทศเมียนมาอย่างมากเป็นพิเศษ บางท่านก็มีธุรกิจการลงทุนภายในนิคมอุตสาหกรรม บางท่านก็มีการค้าโดยผ่านคนกลางที่นั่น บางท่านก็อยากเข้าไปท่องเที่ยว และยังมีอยากจะไปไหว้พระ เป็นเพราะบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ ต้องไปแก้บน ก็มีมาหลากหลายช่องทางครับ แต่คำถามก็มีเพียงคำถามเดียวกันเกือบจะทั้งหมดว่า สถานการณ์ปัจจุบันนี้ปลอดภัยหรือดีขึ้น พอที่จะเข้าไปได้แล้วหรือยัง? 
 

ผมต้องบอกว่า ถ้าจะถามว่าสถานการณ์ดีขึ้นหรือยัง? ผมก็ต้องถามว่าจะให้ผมมองในมุมไหนดีละ? ถ้าจะมองในมุมของการประท้วงจากทางกลุ่มผู้ที่ไม่สนับสนุนรัฐบาล ผมก็คิดว่า ณ ปัจจุบันนี้ค่อนข้างจะเบาบางลงไปเยอะมากแล้ว โดยเฉพาะในกรุงย่างกุ้งและหัวเมืองใหญ่ๆ จะไม่ค่อยได้ยินว่ามีการวางระเบิดมาชั่วระยะหนึ่งแล้ว แต่ถ้าเป็นในเมืองหรือหมู่บ้านเล็กๆ ผมก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะไม่มี เพราะตั้งแต่เปิดประเทศเป็นต้นมา ข่าวทางด้านนี้จะยังไม่ค่อยได้ยินนะครับ จะมีก็เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
 

อีกอย่างทางรัฐบาลเองก็คงไม่ประสงค์จะให้มีแน่ๆ เพราะนั่นจะทำให้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวที่รัฐบาลอยากจะใช้มาเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นในกรุงย่างกุ้งและหัวเมืองใหญ่รัฐบาลต้องส่งกำลังเข้ามาดูแลอย่างดี มิเช่นนั้นจะทำให้บรรยากาศของการท่องเที่ยวหดหายไปอย่างสิ้นเชิงแน่นอนครับ

 

ส่วนสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจ ผมคิดว่ายังคงน่าเป็นห่วงอย่างมากครับ หลังจากที่ค่าเงินได้อ่อนค่าอย่างรุนแรงในปลายเดือนที่ผ่านมา ตามที่ผมได้เล่าให้ทราบไปเมื่อ 2-3 ตอนที่ผ่านมา รัฐบาลก็ได้อัดฉีดเม็ดเงินลงไปสู่ตลาดเงิน ทำให้ค่าเงินจ๊าดเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐก็กระเตื้องขึ้นมาบ้างแล้ว
 

โดยเมื่อปลายอาทิตย์ที่ผ่านมา อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราก็เด้งมาอยู่ที่ 1320-1350 จ๊าดต่อ 1 เหรียญสหรัฐ แต่ก็ยังคงอ่อนค่าอยู่ดี เมื่อเทียบกับอดีต เพราะนั่นหมายความว่าเงินเฟ้อย่อมหลีกหนีไม่พ้นที่จะต้องขึ้น เพียงแต่ทางภาครัฐบาลเมียนมา ยังไม่ได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ เท่าที่ผมได้ไปสำรวจตลาดมาเมื่อครั้งก่อน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวได้ไม่นาน ปรากฎว่าราคาสินค้าก็มีการปรับขึ้นไม่น้อย ทำให้ในใจผมคิดว่า ปลายปีนี้หากมีการประกาศออกมา อัตราเงินเฟ้อต้องไม่น้อยกว่าเลขสองหลักปลายๆ อย่างแน่นอนครับ
 

กลับมาดูการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลเมียนมาบ้าง ณ วันนี้รัฐบาลเมียนมา ก็ได้พยายามที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการชูเอาการท่องเที่ยวขึ้นมา ด้วยการยกเว้นการใช้วีซ่าในการเดินทางให้แก่นักท่องเที่ยวชาติอาเชียน 6 ประเทศ ซึ่งก็หมายรวมถึงประเทศไทยด้วย ทำให้เกิดแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวชาวไทยที่ทราบข่าว ต่างอยากเข้าไปไหว้พระแก้บน อย่างที่ผมได้เกริ่นนำตั้งแต่ตอนต้น ว่ามีแฟนคลับโทรศัพท์มาสอบถามผมเยอะพอควร
 

ซึ่งถ้าหากดูตามนโยบายที่ออกมาในครั้งนี้ ก็ยังคงมีปัญหาอยู่บ้าง เช่น แม้จะไม่ต้องขอวีซ่า แต่ก็ต้องซื้อประกันสุขภาพกับบริษัทประกันของประเทศเมียนมา ที่ต้องจ่ายแพงมากถึง 50 เหรียญสหรัฐสำหรับ บุคคลที่มีอายุ 1-60 ปี และจ่าย 70 เหรียญสหรัฐสำหรับบุคคลที่อายุ 61-75 ปี ส่วนบุคคลที่มีอายุ 75 ปีขึ้นไป ต้องจ่ายแพงถึง 100 เหรียญสหรัฐเลยครับ

นอกจากนี้ยังต้องมีการตรวจผล ATK หรือ RP-CTR ก่อนเดินทาง 48 ชั่วโมง และเมื่อไปถึงสนามบินที่กรุงย่างกุ้งแล้ว ยังต้องทำการตรวจ ATK ใหม่อีกรอบ ซึ่งต้องจ่ายอีก 15,000 จ๊าด เรียกว่ากว่าจะได้เข้าไปท่องเที่ยวในเมียนมาได้ ต้องมีค่าใช้จ่ายอีกไม่น้อยเลยครับถ้าบวกค่าตั๋วเครื่องบินแล้ว ก็ต้องจ่ายอีกเกือบ 15,000 บาทเลยละครับ เมื่อเทียบกับไปประเทศญี่ปุ่น ผมคิดว่าจ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อยก็ไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นได้แล้วครับ 
 

ดังนั้นหากรัฐบาลเมียนมาอยากจะใช้รายได้จากการท่องเที่ยว มากระตุ้น GDP ของประเทศ นโยบายดังที่กล่าวมาแล้วนี้ จะเป็นกำแพงกั้นให้นักท่องเที่ยวคิดหนักเลยละครับ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมเชื่อว่านโยบายนี้ จะได้ผลไม่เต็มที่แล้วละครับ และบทความของผมนี้ ที่ประเทศเมียนมาได้มีคนอ่านอยู่ไม่น้อย ต้องบอกผ่านไปทางภาครัฐบาลเมียนมาว่า ถ้าคิดจะลงเล่นน้ำ ก็อย่ากลัวเสื้อผ้าเปียกเลยนะครับ กล้าๆ ที่จะปล่อยหน่อย เพราะหากไม่ปล่อยเต็มที่ ปัจจุบันนี้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศก็ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว จะหวังพึ่งนักลงทุนต่างชาติหรือการส่งออก ก็ยากมากๆ
 

ส่วนเงินรายได้สุทธิจากต่างประเทศ ก็มีเพียงเงินค่าแรงจากแรงงานเมียนมา ที่ทำงานอยู่ต่างประเทศเพียงทางเดียวเท่านั้น แต่....ค่าแรงของแรงงานเมียนมา ที่ต้องทำงานทั้งเดือน ยังได้ไม่เท่าเงินจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวเพียงหนึ่งวันเลยครับ ดังนั้นควรจะเปิดประเทศให้สุดๆไปเลย 
 

ในขณะที่หากนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาใหม่อีกครั้ง สิ่งที่รัฐบาลเมียนมาจะต้องทำ คือต้องระดมสรรพกำลัง เข้าคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวเหล่านั้น และต้องควบคุมธุรกิจผู้ให้บริการที่เป็นชาวเมียนมา อย่าให้เกิดมีการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวในระลอกใหม่นี้เป็นอันขาด จะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว เช่น ค่าโรงแรม ที่ก่อนเกิดโรคระบาด COVID-19 ได้เคยขึ้นไปแพงหูฉี่ ก็อย่าให้มีแบบนั้นอีก หรืออาหารที่เคยขายกันแพงมากๆ จนพระแทบจะกระโดดกำแพงหนี ก็ต้องควบคุมให้ได้
 

ต้องทำอย่างไรก็ได้ที่จะทำให้นักท่องเที่ยวเหล่านั้น เมื่อกลับไปถึงบ้านของตนแล้ว ต้องเป็นกระบอกเสียงให้แก่ประเทศเมียนมา ด้วยการชักชวนญาติสนิทมิตรสหาย ให้กลับมาท่องเที่ยวประเทศเมียนมาให้ได้ นั่นจึงจะประสบผลสำเร็จครับ