"ศิริกัญญา ตันสกุล" จากนักวิชาการ สู่การเมือง

16 ม.ค. 2566 | 05:00 น.

ศิริกัญญา ตันสกุล จากนักวิชาการ สู่เส้นทางการเมือง หวังสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้การเมืองไทย ด้วยการเปลี่ยนการใช้ลีลาวาทศิลป์ เป็นชุดข้อมูลทางวิชาการ

ศิริกัญญา ตันสกุล อดีตนักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI ตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางชีวิตก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมือง ในฐานะ รองหัวหน้าพรรคฝ่ายนโยบาย พรรคก้าวไกล ด้วยความหวังสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้การเมืองไทย เปลี่ยนการใช้ลีลาวาทศิลป์ เป็นชุดข้อมูลทางวิชาการ

เธอเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบจับพลัดจับผลูว่า แท้ที่จริงก้าวเข้าสู่งานการเมือง ตามคำเชื้อเชิญของ เลขาธิการพรรค ชัยธวัช ตุลาธน 

ความตั้งใจที่เข้าสู่งานการเมือง ก็เพื่อได้นำเอางานวิชาการที่ชำนาญตั้งแต่ครั้งอยู่ TDRI มาใช้ให้เป็นประโยชน์ ในการทำนโยบายให้กับพรรค ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายนโยบาย

ด้วยประสบการณ์จากการทำงานในสายวิจัย ทำให้ได้เห็นว่า ปัญหาของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ มักมีปัญหาในเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ที่แอบซ่อนอยู่ 

ประเทศไทยมีศักยภาพที่โตต่อไปข้างหน้าได้ แต่ติดด้วยบางอย่างที่กดทับไว้ รายได้ของคนโตช้ากว่า จีดีพีของประเทศ เป็นเพราะว่า ประเทศถูกลากไปด้วยคนจำนวนไม่กี่คน เช่น การส่งออก  ที่มีผู้ส่งออกรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย หรือทุนผูกขาดในประเทศต่างๆ  ในขณะที่ คนรายเล็กรายน้อย ยังสามารถเติบโตได้มากกว่านี้ หากสิ่งแวดล้อม หรือระบบนิเวศของการทำธุรกิจเปิดโอกาสให้มากขึ้น

ศิริกัญญา มองว่าข้อจำกัดด้านความหยุมหยิมยุ่งยากต่างๆ เอื้อกับทุนใหญ่ที่มีเส้นสายกับ เจ้าหน้าที่รัฐจึงได้รับความสะดวก แต่ทุกคนควรดำเนินการได้โดยสะดวกทั้งหมด หรือควรมีกฎระเบียบด้านการค้า เพื่อไม่ให้รายใหญ่มาเอารัดเอาเปรียบรายย่อย ก็จะทำให้สามารถระเบิดพลังทางเศรษฐกิจได้อีกมาก

นั่นยังไม่นับการกระจายอำนาจ ที่จะทำให้คนในพื้นทีได้แสดงศักยภาพเพิ่มมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจโตได้อีกมาก ในเชิงความหมุนเวียนด้านเศรษฐกิจในพื้นฐาน 

สิ่งเหล่านี้ หากจะทำให้เกิดขึ้นได้จริง ศิริกัญญา มองว่า ต้องฝ่าแรงต้านอย่างมาก และต้องมีเจตจำนงอย่างแรงกล้า

ศิริกัญญา ตันสกุล

ทั้งการลดขั้นตอนการขอใบอนุญาตต่างๆลง หรือการกระจายรายได้นั้น ล้วนเป็นการลดทอนอำนาจของข้าราชการลง ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า เรื่องเหล่านี้มีการพูดถึงกันมานาน แต่ไม่เกิดขึ้นเนื่องจาก ฝ่ายบริหารมักไม่อยากมีความขัดแย้งกับฝ่ายการเมือง

ฉันทามติจากประชาชนที่มากพอ คือส่วนสำคัญ ที่ศิริกัญญา มองว่า จะทำให้นโยบายเกิดขึ้นได้จริง และฝ่าแรงต้านไปได้ เธอจึงให้ความสำคัญกับการทำงานทางความคิดกับประชาชน

 

อีกหนึ่งสิ่ง ที่เธออยากเห็นนั่นก็คือ การถกเถียงกันของทั้งภาคการเมือง และภาคประชาชน โดยใช้ข้อมูล ตัวเลข ข้อเท็จจริง โดยไม่ใช้เพียงอารมณ์ความรู้สึก มาถกเถียงกัน และนี่จึงเป็นวิถีการทำงานของเธอ ที่มุ่งนำเสนอ ข้อมูล งานวิจัย มากกว่าการใช้วาทศิลป์เพียงอย่างเดียว ถือเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ทางการเมือง

ศิริกัญญา ยอมรับว่า บางครั้งก็รู้สึกเหนื่อยบ้าง กับการสวมหมวกหลายใบ ทั้งการทำหน้าที่ ส.ส. การอภิปรายในสภา และการทำข้อมูลอยู่เบื้องหลัง และรู้สึกว่า งานที่ปรึกษา เป็นทีมข้อมูลอยู่เบื้องหลังนั้น ตรงกับความเชี่ยวชาญของเธอที่สุดแล้ว

เป็นเพราะเธอไม่เคยมีความฝันจะเป็นรัฐมนตรี หรือ แม้กระทั่ง ส.ส. เลย เพราะเธอมองว่า ตำแหน่งไม่มีความหมายสำหรับการทำงานการเมืองของเธอ

สิ่งที่เธออยากเห็นนั้น นอกเหนือจากได้เห็นพรรคก้าวไกล อยู่รอดปลอดภัยจนได้เป็นสถาบันทางการเมืองที่มีสมาชิกมหาศาลแล้ว เธอยังหวังให้ประเทศมีโครงสร้าง และสิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้คนเล็กคนน้อย ได้สามารถระเบิดพลังทางเศรษฐกิจในตัวเองออกมาได้ และคน gen ใหม่ ไม่หมดหวังกับประเทศ ที่จะดีขึ้นได้กว่านี้ 

รองหัวหน้าพรรคหญิง กล่าวในตอนท้ายว่า เธอจะยังคงเป็นกระบอกเสียงต่อไป เพราะผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการนำเสนอเรื่องต่างๆ ผ่านสื่อ หรือในสภานั้น แม้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่ก็ยังทำให้คนได้ตระหนักรู้ในเรื่องนั้นๆ ทำให้บอกกับตัวเองว่า หากไม่มีเราพูดสักคน บ้านเมืองก็คงจะอยู่เหมือนเดิม สิ่งนี้ทำให้มีไฟที่จะทำเรื่องเหล่านี้ต่อไปในแต่ละวัน ต่อไปตลอดชีวิต