กรรมทั้ง 3 ส่วน ไม่ว่าจะออกมาจากทาง การกระทำ คำที่พูด ตลอดทั้ง ความรู้สึกนึกคิด หรือที่เรียกว่า มโนกรรม ทั้ง 3 ส่วนนี้ ย่อมจะต้องมี เจตนา กรรมนั้นจึง สำเร็จโดยสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเจตนาในทาง กุศล หรือเจตนาในทาง อกุศล
ดังนั้น คำสอนที่ทรงกล่าวว่า
"เจตนานั่นแหละเป็นกรรม"
สมมุติถ้าเราเดินอยู่ แล้วปรากฏว่าไปเหยียบมดตาย 1 ตัว ในขณะที่เราเดินนั้น เราไม่ได้มีเจตนา ต้องการจะเหยียบมดเลยแม้แต่น้อย เพื่อให้มันตาย แต่การกระทำของเรา ได้เผลอเหยียบไปแล้ว เพราะการขาดสติ แล้วมดนั้นตาย เช่นนี้เป็นกรรมหรือไม่ คงตอบว่า องค์ประกอบไม่ครบ ที่จะเป็นกรรม
แต่ถ้าเราเห็นอยู่แล้วเบื้องหน้ามีมดอยู่ แล้วเราตั้งใจเดินเข้าไปเพื่อจะเหยียบให้มันตายและเมื่อเหยียบแล้ว มันก็ตายจริง นี้จึงเรียกว่ามีเจตนา กรรมนั้นก็ สำเร็จสมบูรณ์
เรื่องของกรรมทั้งหลายจึงมีความละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ถ้าหากเราเรียนรู้และเข้าใจ ถึงคำว่ากรรมอย่างแท้จริง การใช้ชีวิตของพวกเรา ก็จะไม่ มุ่งเน้นไปโทษจากเรื่องกรรมเพียงอย่างเดียว เพราะหลายสิ่งอย่าง ล้วนมีเหตุปัจจัย และองค์ประกอบอื่นๆอีก
แม้แต่การพูดจากับหมู่มิตร ถ้าการพูดนั้นเพื่อการเย้าหยอก มิได้มีเจตนา ที่คิดไปถึงว่านี่คือการดูถูกบูลลี่ดูแคลน เป็นแค่เพียงการหยอกเย้า ด้วยความเป็นมิตร แต่บังเอิญว่า ผู้ที่ถูกหยอกเย้าไม่สบายอกสบายใจ ถามว่านี่เป็นกรรมหรือไม่ ถ้าเรายึดว่าเจตนา นั้นคือกรรม การหยอกเย้าถ้าแต่แรกไม่มีเจตนาหวังผลเพื่อให้เขาอับอาย การพูดนั้น ก็ไม่เป็นกรรม โดยสำเร็จครบองค์ประกอบ แต่ผู้พูด ก็เป็นบุคคลที่ผิดศีล ข้อ 4 ไปโดยปริยายในลักษณะของการส่อเสียดนินทา
คำพูดคำจาจึงเป็นสิ่งที่ สำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่า จะเป็นคำพูดเพื่อการใดก็ตาม จะต้องมีสติ คอยกำกับอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะบุคคลที่ มีตำแหน่งแห่งหน เป็นถึงผู้นำ ไม่ว่าจะผู้นำองค์กร หรือผู้นำในด้านการบริหารประเทศ การจะพูดจาใดๆ จะต้องมีสติให้มาก มิเช่นนั้นอาจจะผิดพลาดได้
โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นถึงผู้นำ การพูดผิดเพียงแค่คำเดียว ไม่ว่าจะมีเจตนา ไปในฝ่ายใดก็ตาม คำพูดนั้นย่อมส่งผล ทั้งบวกและลบ ให้กับตัวผู้พูดเอง ตลอดทั้งบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และถ้าเกิดครบองค์ประกอบคำว่ากรรม คำพูดนั้นย่อมมีผล เป็นอย่างมาก
พระพุทธเจ้าจึงเป็นบุคคลที่ ตรัสค่อนข้างน้อย ในเรื่องของการ กล่าวถึงในเนื้อหาอื่นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับธรรมะ พระพุทธเจ้าจะทรงเน้นพูดแต่ธรรมะเพียงอย่างเดียว เว้นเสียแต่ พระราชานำปัญหามาปรึกษา เว้นเสียแต่คหบดีนำปัญหามาปรึกษาตลอดทั้งคนทั่วไปมีความทุกข์ใจนำปัญหามาปรึกษา ก็จะได้ยินพระองค์ทรงตรัสสอน มากกว่าปกติ
เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ
เจตยิตฺวา กมฺมํ กโรมิ กาเยน วาจาย มนสา
แปลว่า "ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า เจตนานั่นแหละเป็นกรรม เมื่อมีเจตนาแล้ว บุคคลย่อมกระทำกรรมโดยทางกาย วาจา ใจ"
(พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ สุตฺต. องฺ. : ปญฺจก-ฉกฺกนิปาตา ตัวเจตนา นี้แหละ คือสิ่งที่เรียกว่า “กรรม” คนเรามีกรรมเป็นสมบัติที่แท้จริง)
ดังนั้น ถ้าเรา คิดจะสร้างกรรม อะไรก็ตาม ขอให้พยายามมีสติ และขอให้ กรรมที่จะสร้างนั้น จงเป็นกุศลกรรมให้มาก และชีวิตจะมีแต่ความสงบ สุข ร่มเย็น ตามคำสอนของ พระพุทธเจ้า ทุกประการ