แค่สำรวม​ก็พบธรรม

07 พ.ค. 2568 | 21:30 น.
อัปเดตล่าสุด :07 พ.ค. 2568 | 22:49 น.

แค่สำรวม​ก็พบธรรม คอลัมน์ ทำมาธรรมะ โดย ราชรามัญ

คำสอนง่ายๆ​ ของท่านติช นัทฮันห์ ในคำกล่าวที่ว่า "แค่สำรวมก็พบธรรม" ในความสำรวมที่ท่านกล่าวถึงมิได้หมายถึงเพียงแค่เลือกสำรวมเรื่องใดเรื่องเดียว​ แต่หมายถึงให้สำรวมทั้งหมด​

  • สำรวมให้เรียบง่ายในเรื่องการกิน
  • สำรวมให้เรียบง่ายในเรื่องที่อยู่ที่นอน
  • สำรวมกายทุกกริยาอิริยาบถ
  • สำรวมจิตใจ​ (ไม่ปล่อยตา หู จมูกสู่ภายนอกใจ)​
  • สำรวมในวาจา​

ถ้าเราทำได้ตามนี้​ สามารถพบธรรมอันยิ่งโดยไม่ต้องไปวัด เพื่อสวดมนต์ภาวนาอะไรเลย​ แต่ถ้าปรารถนาจะไปก็สามารถไปได้...เพราะยิ่งใกล้ธรรมะเมื่อไหร่ยิ่งเข้าหาวัด​ แต่เลือกเป็นวัดสายปฏิบัติธรรม​ อาทิ​ ​วัดสายธรรมยุตินิกาย

ความสำรวมเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เราอยู่กับตัวเองมากขึ้น​ มีสติมากขึ้น​ ปัญญาย่อมเกิด​

ในยุคพุทธกาล​ เรียกว่า​ยุคจิตตะนิยม​ ผู้คนต่างแสวงหา การฝึกจิต ให้มีการพัฒนา ไปในทางที่สูง ยิ่งมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ยิ่งถือได้ว่ามีองค์ความรู้แตกฉาน แต่พระพุทธเจ้าเราภาวนา เพื่อให้เกิดปัญญา จึงแตกต่างจากลัทธิอื่นๆ ในยุคนั้น

การภาวนา ที่สำรวม ด้วยกาย วาจา ใจ ทำให้เกิดพลังงาน ด้านสมาธิอย่างเต็มที่ มีสติอย่างเต็มที่ ทั้งสองส่วนนี้ จึงทำให้สามารถพิจารณาธรรม แจกแจงออกมาเป็นข้อๆ ได้อย่างละเอียด จนได้พบความเป็นจริง ว่าธรรมะทั้งหลายทั้งปวง ล้วนเป็นอนัตตา​ 

ไม่ว่าจะเป็น ธรรมะฝ่ายกุศล หรือธรรมะฝ่ายอกุศลก็ตาม แม้แต่การใช้ชีวิตประจำวันในแต่ละวัน ก็ล้วนขึ้นอยู่ในหลักของอนัตตา ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ แต่การที่จะทำให้เขาถึงสภาวะนี้ได้ เราท่านทั้งหลายต้องรู้จักคำว่าสำรวม

การสำรวม ทำให้จิตใจของเราอยู่ในปัจจุบันขณะ เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าสำคัญที่สุด ไม่มีความคิดไหลไปกับอนาคตหรืออดีต เพียงเท่านี้ก็เป็นการสำรวมใจ ที่จะทำให้ไปสู่ปัญญาได้โดยง่าย

ธรรมะในรูปแบบแนวเซน ของท่านติช นัทฮันห์ คือการนำเอาความจริง เข้ามาสู่ธรรมชาติที่เรียบง่ายทั้งปวง ไม่มีพิธีรีตอง ไม่ยึดติดกับตำรา จนเกินกาล​ ทุกอย่างอยู่ในทางสายกลางพอดี แล้วจะทำให้ธรรมะนั้นปรากฏขึ้นง่ายๆ โดยไม่ต้องมีการปรุงแต่งใดๆ ไม่ต้องมีวิธีการใดๆ ทุกอย่างจะมาเองตามหลักธรรมชาติเมื่อจิตใจ ที่สำรวมแล้ว พร้อมเต็มที่ ปัญญาก็เกิดขึ้น

เมื่อปัญญาเกิดขึ้นแล้ว นั่นแสดงว่า เราได้เห็นทุกอย่าง ตามความเป็นจริง ที่ไม่มีสิ่งใดเลย เข้าไปยึดถือได้ ล้วนเป็นอนัตตา แม้แต่คำสอน อันสูงสุดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ล้วนเป็นอนัตตา ผู้ที่เข้าถึงสภาวะแบบนี้ ชีวิตจะไม่มีหลงไปในทางอื่น ที่ตกต่ำกว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนอยู่ตามเหตุปัจจัย แห่งความเป็นอนัตตาทั้งสิ้น

โลกแห่งสมมุติสัจจะ โดยมากจะเน้นไปทางวัตถุ สิ่งของ ให้มีชื่อนั้นชื่อนี้ เพื่อใช้ ในทางสะดวกสบาย วัตถุเหล่านั้น คือความจริง แต่เป็นความจริงที่มนุษย์สร้างขึ้น

โลกปรมัตถสัจจะ​ คือโลกในความจริงที่เป็นจริง โดยไม่มีสิ่งใด เข้ามาปรุงแต่ง แต่มันคือความจริงที่เป็นจริง และปรากฏมาเนิ่นนาน

ทั้งโลกสมมุติสัจจะ และโลกปรมัตถสัจจะ สุดท้ายแล้ว ต่างก็ล้วนเป็นอนัตตา ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ แต่การที่จะมีอาการความคิดความรู้สึกแบบนี้ได้ จะต้องผ่านการสำรวมมาอย่างหนักหนาพอสมควร แล้วจะเห็นตามความเป็นจริง

ใครที่ไม่ปรารถนาให้มากเหตุด้วยพิธีกรรม ให้มากเหตุด้วยรูปแบบการกระทำ ให้มากเหตุด้วยการสวดมนต์ หรือแม้ให้มากเหตุด้วยการภาวนาที่มีรูปแบบพิธีการ ก็พึงอาศัย การสำรวมนี้ มาเป็นข้อวัตรปฏิบัติตน
ไม่ช้าไม่นาน ก็รอดพ้นทุกสถาน ได้พบตามความเป็นจริง ที่พึงปรารถนา