อ่านปรัชญา ซึ่งเป็น หนังสือที่ เกี่ยวกับการปฏิบัติ ในทางพุทธศาสนาแบบ วัชรยาน ของทิเบต หนังสือเล่มนี้ จำได้ราวๆว่ารินโปเชท่านหนึ่งเป็นคนเขียน หนังสือเล่มนี้ถ้าเป็นภาษาไทยก็ประมาณว่าวันสุดท้ายบนดาวโลกเป็นเรื่องราว ของบุคคลท่านหนึ่ง ที่เหมือนนั่งพิจารณาธรรม ขั้นสูง ก่อนที่เขาจะลาจากโลกนี้ไป เนื่องจากว่าเขาเป็นผู้ที่รู้ว่าเขาจะจากลาโลก ไปในวันที่เท่าไหร่เดือนอะไร
จากสำนวนในหนังสือเท่าที่อ่าน เหมือนเป็นเรื่องเล่าของชายคนหนึ่ง ที่ได้มาสนทนาธรรม กับ รินโปเชท่านนี้ การได้มาของหนังสือเล่มนี้ เหมือนไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญ วันที่ผมบินจากเฉินตู ข้ามหิมาลัย มาลงที่สนามบินกงก่า เพื่อไปลาซา มีลามะท่านหนึ่งมารอรับที่ลาซาและท่านเป็นลามะที่เก่งมากซึ่งพูดภาษาจีนได้ พูดภาษาทิเบตได้ และที่สำคัญพูดภาษาอังกฤษได้ด้วย เป็นคนที่นำหนังสือเล่มนี้มาให้ และบอกว่า อยากให้อ่านในคืนนี้
ยอมรับว่าการเดินทางที่แสนเหน็ดเหนื่อยทำให้ไม่ได้อ่าน หนังสือเล่มนั้น กระทั่งตอนเช้า ไม่เดินทางไปนอร์บูลิงก้า ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของลาซา จึงเริ่มมีความคิดที่จะหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน
สักกี่คนบนโลกนี้ ที่จะรู้ว่า ตัวเองจะหมดภาระในการอาศัยบนดาวโลกนี้ วันไหนเมื่อไหร่ แต่ผมกลับรู้ว่า อีกสองสัปดาห์ ร่างกายที่แข็งแรงของผมนี้จะหยุดทำงานลงตอนกลางคืนราวๆเที่ยงคืน ทั้งที่ผมมีอายุเพียงแค่ 39 ปี
บางคนเมื่อรู้อะไรล่วงหน้า อาจจะทำใจยาก กระวนกระวาย แต่สำหรับผมย่อมมีบ้างแม้จะเรียนรู้วิชาธรรม ทองเล้นท์มาบ้าง แต่ก็ไม่อาจที่จะยับยั้งได้...
วิธีที่ดีที่สุดในยามนี้ ผมได้แต่นั่งนึกถึงตัวเองตั้งแต่วันแรกที่เกิดมาจวบจนได้เรียนได้สวดมนต์ ภาพเก่าๆในอดีต ได้เริ่มย้อนมาตลอดเวลา ผ่านห้วงเวลาความสุข ผ่านห้วงเวลาความทุกข์ ได้รู้จักผู้คน ได้ทำงานเพื่อศาสนา ได้รับความเมตตา ความกรุณา บุคคลมากมาย ที่เราได้ใกล้ชิด สุขทุกข์ทั้งหลาย ผ่านมาผ่านไป จนมาถึงวันนี้ เราได้เห็น อะไรพอควร ที่บนดาวโลก
เพิ่งเห็นเด่นชัดที่สุด เห็นจะเป็นจิตใจของมนุษย์ ไม่ว่า จะเป็น ชาติใดๆ ภาษาไหน ก็ตามแต่ ล้วนมีภาวะจิตใจ แห่งความเป็นมนุษย์ ที่ไม่แตกต่างกัน ปรารถนาความสุข ปฏิเสธความทุกข์ ปรารถนาความสบาย ปฏิเสธความยากลำบาก
การที่ได้รู้ได้เห็น สิ่งต่างๆทั้งหลาย และผ่านพ้นจากสิ่งต่างๆทั้งหลายมาได้ จนมาถึงห้วงเวลาสุดท้ายของชีวิต มันทำให้เราเข้าใจดีว่า เราเป็นเพียงผู้มาเยือน แล้วก็ลาจากไป ไม่มีสิ่งใดที่จะติดมาติดเงินเราไปได้ ยกเว้นภาวะจิต ของเราเองเท่านั้น
ถ้าจิตใจเราดี เราก็จะได้กอดเก็บหัวใจดีๆของเราไป ในภพภูมิหน้า ไปรับใช้พระโพธิสัตว์ต่อไป แต่ถ้าหัวใจของเรา ไม่สะอาดมากพอ ก็คงจะได้ ไปเรียนรู้ในภพภูมิอื่น ต่อไปเช่นเดียวกัน สาระสำคัญ ของชีวิตก็มีเพียงแค่นี้ แต่เราไปคิดไปสร้างภาระมากมาย เกินกำลัง กว่าที่จิตใจจะแบกรับไหว จนต้องกลายเป็นจิตใจที่หยาบกระด้างและน้อยแห่งความเมตตาและกรุณาในหัวใจ ขึ้นมาทดแทน และก็ต้องทนทุกข์อย่างเจ็บปวด ในเวลาหนึ่ง ที่ความทุกข์เท่าไหร่ถาโถมมา"
ผมยอมรับครับ.. ว่าอ่านได้แค่นี้... มันสะเทือนจิตวิญญาณอย่างมาก น้ำตาแอบไหล แล้วถ้าเป็นคุณรู้วันสุดท้ายของชีวิตที่จะต้องจากลาดาวโลกไป คุณจะรู้สึกอย่างไร และทำอะไรบ้าง
ฝากลองเก็บไปคิดพินิจธรรมครับ