PRTR กับ...บอย ท่าพระจันทร์

*** อรรถวัติ ศิริสิทธิธงไชย หรือ “บอย ท่าพระจันทร์” ถือได้ว่าเป็นเซียนพระมือเก๋า และเป็นเซียนหุ้นขาแรงที่สร้างสีสันให้กับตลาดหุ้นไทยได้อย่างไม่ธรรมดาอีกหนึ่งคน ว่ากันว่า “บอย ท่าพระจันทร์” นับหนึ่งความร่ำรวยมาจากการเป็นเด็กเดินพระในย่านท่าพระจันทร์ ก่อนที่จะขยับขึ้นมาเป็นเซียนพระเบอร์ต้นๆ ของประเทศจากความกล้าได้กล้าเสียในการซื้อและขายพระเครื่องอย่างที่แทบจะไม่เคยมีมาก่อน

ขณะเดียวกัน “บอย ท่าพระจันทร์” ก็นำกำไรที่ได้จากธุรกิจพระเครื่องไปเปลี่ยนเป็นเงินลงทุนสินทรัพย์อย่างอื่นอีกหลายอย่าง โดยหนึ่งในจำนวนนั้นคือ การลงทุนในตลาดหุ้นหลังจากที่บอยได้รู้จักกับ “เสี่ยป๋อง วัชระ แก้วสว่าง” และด้วยความเป็นคนที่กล้าได้กล้าเสียนี้เอง เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้บอยอัดเงินลงสู่พอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้นนับพันล้านบาท 

ล่าสุด “บอย ท่าพระจันทร์” ได้ขยับเข้ามาถือหุ้นใน บมจ.พีอาร์ทีอาร์ กรุ๊ป หรือ PRTR โดยถือหุ้นอันดับ 6 ในสัดส่วน 4.08% พร้อมข้อความในโพสต์ว่า "เดินตามผู้ใหญ่ สบายใจ" ขณะเดียวกัน PRTR ก็มี บมจ. เจ มาร์ท หรือ JMART เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ลำดับที่ 2 ติดอยู่ด้วย
 

หากจำกันได้ก่อนหน้านี้ไม่นาน ชื่อของ “บอย ท่าพระจันทร์” กับชื่อของ JMART ก็เคยดังกระหึ่มในประเด็นเรื่อง หุ้น “Corner” ซึ่งเป็นความดังในระดับเดียวกันกับ “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ JMART ในชนิดที่แทบไม่แตกต่าง

เอาจริงๆ เมาธ์เองก็ไม่แน่ใจว่าบอยเกี่ยวข้องกับ JMART ซึ่งช่วงนี้ราคาได้ร่วงลงมาอยู่ในจุดต่ำที่สุดในรอบปีหรือไม่...อย่างไร แต่ที่แน่ๆ การที่ราคาหุ้น PRTR ขยับขึ้นมาในช่วงที่หุ้นร่วงกันทั้งตลาดฯ น่าจะเป็นเพราะชื่อของ “บอย ท่าพระจันทร์” อย่างแน่นอน (ฮา)

*** ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนอย่างแท้จริงหลังจากที่ ETC ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ BWG ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมทั้ง 10 โรงงาน จากที่ยื่นขอไป 10 โรงงาน รวมกำลังการผลิตไฟฟ้า 80 MW และภายหลังจากที่โรงไฟฟ้าทั้งหมดสามารถขายไฟฟ้าเชิงพานิชย์ (COD) จะทำให้ BWG ซึ่งเชี่ยวชาญในการกำจัดขยะอุตสาหกรรมแบบครบวงจรสามารถขายเชื้อเพลิงให้กับ ETC ไปได้จนจบอายุการสัมปทานอย่างไม่มีปัญหา 

ขณะเดียวกัน BWG ก็จะได้รับส่วนแบ่งจากการขายไฟฟ้าในฐานะของผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ETC ที่ถือหุ้นอยู่ในมือถึง 43.93% ซึ่งนั่นก็จะหมายถึงการที่ BWG จะมีรายรับเข้ามาในมือแบบ 2 เด้งอย่างชัดเจนไปอีกหลายปีด้วยเช่นกัน เจ๊เมาธ์ไม่รู้ว่าอนาคตราคาหุ้นของทั้ง BWG และ ETC จะเป็นไปไหนทิศทางใดจะรู้ก็เพียงแค่จังหวะนี้เป็นจุดเปลี่ยนของทั้งรายได้และกำไรของหุ้นทั้ง 2 ตัวก็เท่านั้นเอง

*** ไม่ใช่แค่ราคาหุ้นของ JAS เท่านั้นที่ปรับราคาร่วงลงมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด JASIF ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นของ JAS ก็กำลังเกิดปัญหาสภาพคล่องหลังจากที่ Triple T Broadband (“3BB”) มีท่าทียึกยักไปในแนวที่ว่า จะไม่สามารถจ่ายค่าเช่ารายเดือนให้กองทุนได้เต็มจำนวน หลังจากไตรมาส 4/65 ซึ่งขาดทุนสุทธิ 791 ล้านบาท ถึงจะสามารถเลื่อนชำระค่าเช่าได้ภายใน 15 วันหลัง วันครบกำหนดจ่ายค่าเช่าในวันที่ 30 มี.ค. 66 

แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ 3BB อาจต้องจ่ายค่าปรับ 7.50% ต่อปี จนกว่าจะจ่ายค่าเช่าเต็มจำนวน และความไม่แน่นอนนี้ยังไม่รวมไปถึงกรณีที่ JAS ได้ขายหน่วยลงทุนของทั้ง JASIF และ 3BB ให้กับ ADVANC ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่ ADVANC จะต่อรองกับผู้ถือหน่วยของ JASIF เพื่อเปลี่ยนสัญญาธุรกิจทั้งเรื่องการต่ออายุสัญญาเช่าและการลดค่าเช่าลง 

ถ้าหากจบ...ก็หมายถึงการที่ JASIF มีรายได้ที่ลดลง แต่ถ้าไม่จบปัญหาเรื่องความไม่แน่นอนนี้ ก็จะทำให้ราคาเสนอซื้อหน่วยลงทุน JASIF ที่ทาง ADVANC เคยเสนอจะถูกปรับลงจาก 8.50 บาท อาจถูกปรับลงด้วยเช่นกัน แม้จะคาดการณ์กันว่าผลดำเนินงานไตรมาส 1/66 จะมีกำไรถึง 1,262 ล้านบาท แต่กำไรที่ว่าก็ยังลดลงถึง 22% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทำให้ไม่พอที่จะทำให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่า JASIF จะให้ผลตอบแทนที่ดีแบบที่เคยเป็นมาอยู่ดี  เฮ้อ...ถึงจังหวะนี้ก็คงต้องตัดสินว่าจะอยู่ต่อหรือไปกันได้แล้วค่ะ

*** การปล่อยข่าวเรื่องตู้ขายก๋วยเตี๋ยวและตู้ขายไอศกรีมอัตโนมัติเพื่อทดลองตลาดในรอบนี้ดูเหมือนจะไม่สามารถปลุกกระแสให้ราคาหุ้นของ FSMART สามารถกลับมาแรงได้เช่นเดียวกับในช่วงเวลาที่ปล่อย “ตู้เต่าบิน” ออกมาทดลองตลาด อย่างหนึ่งเป็นเพราะในช่วงนั้นตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติ “เต่าบิน” เป็นของใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน จึงสามารถกระตุ้นความตื่นเต้นของผู้บริโภคและนักลงทุนได้เป็นอย่างดี 

อย่างที่สองก็คือ “ตู้เต่าบิน” ถูกปล่อยออกมาก่อนที่จะมีการโปรโมทสินค้า และท้ายที่สุดการที่ราคาหุ้นของ FSMART ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ก็น่าจะมาจากเรื่องของผลการดำเนินงานของ FSMART ที่จนถึงตอนนี้แม้ว่าจะมีตู้เต่าบินอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองแต่ผลการดำเนินงานกับยังไม่ไปไหนนั้นเอง

รอให้มีกำไรขึ้นมาซะก่อน...หลังจากนั้นเรื่องของราคาหุ้นค่อยมาว่ากัน เรื่องมันก็มีเท่านั้นเองเจ้าค่ะ