STARK & MORE ใครแสบกว่ากัน

09 พ.ค. 2566 | 22:05 น.

STARK & MORE ใครแสบกว่ากัน คอลัมน์ เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์

*** STRAK ยังคงถูกจับจ้องว่าจะสามารถส่งงบการเงินงวดปี 65 และสามารถกลับเข้ามาซื้อขายหุ้นได้ทันกำหนด การส่งงบการเงินไตรมาส 1/66 ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมได้หรือไม่ ซึ่งหาก STARK ส่งงบได้ทันและสามารถกลับเข้ามาซื้อขายหุ้นได้อีกครั้ง ปัญหาต่อไปที่จะถูกนำมาพูดถึงก็คือราคาหุ้น 2.38 บาท ของ STARK ซึ่งถูกแขวน SP มาตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม จะถูกเทขาย จนราคาติดฟลอร์ หรือ รูดลงต่ำสุดติดพื้น 30% ลงไปกี่ฟลอร์  และหลังจากที่ทุกอย่างกลับมาเข้าที่ราคาหุ้นหน้ากระดานของ STARK จะลงไปอยู่ที่ราคาเท่าไหร่  

เพราะถ้าเปรียบเทียบกับตัวปัญหาตัวก่อนอย่าง MORE ซึ่งราคาหุ้นร่วงลงถึง 4 ฟลอร์ หลังปลด SP ก่อนที่ราคาหุ้นจะถูกโรยลงอย่างช้าๆ จนเปลี่ยนให้หุ้นที่จากเดิมมีราคาเกือบ 3 บาท กลายมาเป็นหุ้นที่ราคาไม่ถึง 0.20 บาทในปัจจุบัน  
     
แม้ว่าทั้งสองบริษัทจะมีนักลงทุนเป็นผู้เสียหายร่วมจำนวนมาก ทั้งรายใหญ่ รายย่อย แต่ในกรณีของ MORE มีปัญหามาจากเรื่องการปล่อยเครดิตในบัญชีมาร์จิ้น และการให้วงเงินบัญชีเงินสดที่ขาดการตรวจสอบและควบคุม โดยผู้มีส่วนได้เสียส่วนใหญ่บริษัทนายหน้าในการซื้อขายหุ้น (โบรกเกอร์) เป็นหลัก 
     
ขณะที่กรณีของ STARK มีความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการตกแต่งบัญชี และหลอกลวงนักลงทุนให้หลงเข้าไปซื้อหุ้นและหุ้นกู้ของบริษัท... 

ดังนั้น เมื่อฐานของความเสียหาย ซึ่งมีเหตุไม่เหมือนกันจึงอาจจะสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่าง เอาเป็นว่าอีกไม่นานก็คงจะได้รู้กันว่า บริษัทไหน สร้างความเสียหาย และรอยแผลที่ใหญ่กว่าสำหรับอีกประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของตลาดทุนไทย
      
*** หลังจากที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% พร้อมกับระบุว่า อาจจะเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มลีสซิ่งใหญ่อย่าง TIDLOR SAWAD และ MTC กลับมาขยับราคาอย่างคึกคัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการที่ดอกเบี้ยจะเริ่มเข้าสู่ภาวะคงตัว ได้ส่งผลให้หุ้นที่ต้องกู้เงินจากสถาบันการเงินมาลงทุนเริ่มกลับมาได้รับความสนใจ  

และอีกส่วนก็เป็นเพราะการที่หุ้นกลุ่มนี้ ถูกภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นกดให้ราคาหุ้นลงมาอยู่ในจุดที่ราคาหุ้นอยู่ต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งหากจะมองราคาหุ้นที่เหมาะสม ผ่านทางมุมมองของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ก็ดูเหมือนว่า TIDLOR น่าจะมีภาษีดีกว่า เนื่องจากราคาหุ้นร่วงลงมามากกว่าหุ้นตัวอื่นในกลุ่ม 

โดยมีราคาเป้าหมายของ TIDLOR ที่นักวิเคราะห์ให้ไว้เฉลี่ยอยู่ที่ 29.08 บาท สูงกว่าราคาหุ้นหน้ากระดานถึง 20% ขณะที่ SAWAD และ MTC ต่างก็อยู่ในระดับราคาที่ยังน่าสนใจ โดยทาง SAWAD มีราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ให้ไว้เฉลี่ยอยู่ที่ 57.88 บาท และ MTC ที่ราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ให้ไว้เฉลี่ยที่ 37.95 บาท เอาเป็นว่าเจ๊เมาธ์หาข้อมูลมาให้แล้ว...จะชอบใจตัวไหนก็พิจารณากันตามความสะดวกไปเลยค่ะ   

*** หลังจากที่ราคาหุ้นของ MAKRO ถูกดันขึ้นไปจนถึงราคาเพิ่มทุน 43.50 บาท ในช่วงกลางเดือนมกราคม จากนั้นก็ไม่เคยกลับไปอยู่ในจุดเดิมได้อีก เพราะถึงแม้ว่าในไตรมาสที่ 1/66 รายได้จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 แสนล้านบาทและมีกำไร 2.16 พันล้านบาท โต 5.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 

โดยในไตรมาสที่ 1/66 มีกำไรต่อหุ้น 0.20 บาท ขณะที่ในปี 65 ทั้งปี MAKRO มีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.75 บาท แต่หากนำมาเปรียบกันแล้ว ก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับช่วงเวลาก่อนที่จะดึงเอา Lotus’s เข้ามาอยู่ด้วย โดยในปี 64 พบว่า MAKRO มีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ระดับ 2.38 บาท 

ขณะที่ในปี 63 มีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.37 ดังนั้น ด้วยกำไรต่อหุ้นที่ยังไม่สามารถที่จะกลับไปอยู่ในจุดเดิมได้ทำให้การที่ราคาหุ้นของ MAKRO จะถูกดันกลับไปที่จุดหลุดดอย (43.50 บาท) ก็คงจะต้องรอดูกันต่อไปอีก เอาเป็นว่าของแบบนี้ไม่จำเป็นต้องรีบ ก็ถือซะว่า “ไม่ขายไม่ขาดทุน” จะได้สบายใจเจ้าค่ะ 

*** ชัดเจนแล้วว่าหุ้นในกลุ่มตัวเจ ทั้ง JMART SINGER JMT J และ SGC ดูเหมือนว่าทาง JMT น่าจะเป็นหุ้นที่ยังแข็งแกร่งกว่าหุ้นตัวอื่น อย่างแรก ก็เป็นในเรื่องของราคาหุ้น ที่แม้ว่าหุ้นทั้งกลุ่มอยู่ในช่วงขาลง แต่ก็เป็น JMT ที่ราคาหุ้นปรับลงมาน้อยกว่าตัวอื่น เนื่องจากเป็นปัญหาของจิตวิทยาหมู่...แต่ไม่ได้มีปัญหามาจากพื้นฐานทางธุรกิจ 

อย่างที่สอง ก็เป็นเรื่องของผลการดำเนินงาน ซึ่งเหมือนว่าบริษัทแม่อย่าง JMART จะกลายเป็นฝ่ายที่คอยรับรู้ผลกำไร ที่มาจากลูกกตัญญูอย่าง JMT มากกว่าที่ทาง JMT จะได้รับประโยชน์ใดจากบริษัทแม่ ขณะเดียวกันทางด้านของ JMT ก็ยังต้องมารับภาระในการเก็บกวาดขยะให้กับหุ้นในตระกูล ยกตัวอย่างเช่นการที่จะต้องเข้าไปช่วยบริหารหนี้เสียของ SINGER เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม เจ๊เมาธ์บอกไว้ก่อนว่า หุ้นตัวเจกลุ่มนี้ยังคงยังไม่นิ่งพอที่จะเข้าไปยุ่ง แต่ถ้าไม่มีทางเลือกหรือทางไปแล้วจริงๆ ก็น่าจะเป็นทาง JMT ยังพอดูได้มากกว่าหุ้นอื่นในกลุ่ม 

*** อ้อ...ตอนนี้ BM-W3 น่าจะเข้าพอร์ตผู้ถือหุ้นเดิมที่ได้รับสิทธิตามสัดส่วนการถือหุ้นไปแล้วเรียบร้อย อีกไม่นานคงจะได้เข้าทำการซื้อขายกันแล้ว บอกเลยของดี...น่าสนใจมากค่ะ

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,886 วันที่ 11 - 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2566