เทศกาลขายหมู

11 ต.ค. 2564 | 05:53 น.

บทความโดย : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า ( Value Investor) ชั้นแนวหน้า


เวลาที่จะซื้อหุ้นลงทุนทุกครั้ง  สิ่งหนึ่งที่ควรจะคิดถึงเสมอก็คือ  “จะขายเมื่อไร”  แต่   วอเร็น บัฟเฟตต์ กลับบอกว่าเวลาที่เหมาะสมที่สุดก็คือ  “ไม่ขายเลย”  เขาอยากที่จะถือไว้ “ตลอดชีวิต”  แต่ผมคิดว่านั่นเป็นการพูดเพื่อเน้นให้นักลงทุนแบบ VI ถือหุ้นให้ยาวมากที่สุด  และหุ้นที่ควรจะซื้อก็คือหุ้นของกิจการที่ยอดเยี่ยมมีความได้เปรียบที่ยั่งยืนและโตต่อเนื่องไปยาวนานที่ผมเรียกว่า “Super Stock” ที่บัฟเฟตต์ชอบลงทุนตั้งแต่เริ่มโด่งดังหลายสิบปีก่อน  ตัวอย่างเช่น  หุ้นของโค๊กและสินค้าอุปโภคบริโภคจำนวนมากที่บัฟเฟตต์ลงทุนและถือมาจนถึงทุกวันนี้  อย่างไรก็ตาม  บางครั้งบัฟเฟตต์ก็ลงทุนในหุ้นแนวอื่นด้วยที่ไม่ใช่ซุปเปอร์สต็อกและในกรณีนั้น  เขาก็ไม่ได้ถือยาวตลอดชีวิต  เขาขายมันไปเมื่อถึงเวลาที่สมควรจะขาย  ตัวอย่างเช่นการซื้อหุ้นปิโตรไชน่า  หุ้นน้ำมันยักษ์ใหญ่ของจีน  ที่เขาขายทำกำไรมโหฬารในระยะเวลาอันสั้นเมื่อราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นมาก

ส่วนใหญ่แล้วผมเองก็เน้นการลงทุนในหุ้นซุปเปอร์สต็อกและก็มักจะถือหุ้นยาวนานเป็นสิบปีขึ้นไป  อย่างไรก็ตาม  ในช่วงหลัง ๆ  ในตลาดหุ้นไทยซึ่งยังเล็กและมีหุ้นดังกล่าวจำกัดขึ้นทุกที  ผมก็หันไปลงทุนในหุ้นแบบอื่นด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น  เมื่อผมเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามเมื่อ 5-6 ปีก่อน  ซึ่งแทบจะไม่มีหุ้นที่จะเข้าข่ายเป็นซุปเปอร์สต็อกหรือผมไม่รู้จักหุ้นแต่ละตัวดีพอ  ผมก็จำเป็นที่จะต้องคิดถึงเรื่องการ “ขายหุ้น” ว่าจะทำเมื่อไร  แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น  มาดูกันว่าหุ้นแต่ละแบบนั้น  เราควรจะซื้อและขายเมื่อไร
 

เริ่มตั้งแต่หุ้นที่มีศักยภาพที่จะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในอีก 10 ปีข้างหน้า วันซื้อก็คือวันที่เรามั่นใจว่ามันกำลังจะเป็นผู้ชนะในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ทำอยู่และราคาหุ้นในขณะนั้นยังไม่แพงวัดจาก Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นของกิจการ  ตัวอย่างชัดเจนสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาก็คือ  หุ้นค้าปลีกสมัยใหม่ที่คนในสังคมกำลังเข้ามาใช้บริการแทนที่ร้านค้าดั้งเดิม  บริษัทที่จะเป็นผู้ชนะจะสามารถเติบโตไปกับเศรษฐกิจต่อเนื่องยาวนานและโตเป็น 10 เท่าได้ในเวลา 10 ปี  วันที่จะขายหุ้นเหล่านี้ก็คือวันที่บริษัท “อิ่มตัว” แล้ว  มีคนใช้สินค้าทั้งประเทศแล้ว 

หุ้นกลุ่มที่สองที่ผมลงทุนมากพอสมควรก็คือหุ้น “Deep Value” หรืออาจจะเรียกว่าหุ้น  “แบกะดิน”  คือหุ้นที่ธุรกิจพอไปได้และ “ไม่ตาย” แต่อาจจะไม่โตแล้ว  แต่ราคาหุ้นถูกมาก  วัดจากค่า PE ปกติที่ต่ำมากและไม่ควรเกิน 10 เท่า และปันผลตอบแทนที่ค่อนข้างมั่นคงในระดับ 4-5% ขึ้นไป  หุ้นแบบนี้เมื่อซื้อแล้วผมก็จะถือไปเรื่อย ๆ  ตราบที่ยังไม่มีหุ้นหรือหลักทรัพย์อื่นที่น่าสนใจกว่า และจะขายเมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปจนเต็มหรือเกือบจะเต็มมูลค่าแล้ว  ซึ่งทั้งสองกรณีบางทีก็กินเวลานานเหมือนกัน  แต่ผมก็มักจะไม่รู้สึกเดือดร้อนมากนักเพราะอย่างน้อยผมก็ได้ “กินปันผล” ที่งดงามไปเรื่อย ๆ


 

หุ้นกลุ่มที่สามเป็นหุ้น Cyclical ที่มักจะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาขึ้นลงเป็นรอบ ๆ  อาจจะรอบละ 3-7 ปีอะไรทำนองนั้น  ตัวอย่างก็เช่น  ราคาน้ำมัน ถ่านหิน  เหล็ก  ปิโตรเคมี  ราคาพืชผลการเกษตร  ราคาค่าระวางเรือ  เป็นต้น เวลาที่ควรจะซื้อหุ้นเหล่านั้นก็คือเวลาที่ราคาสินค้าหรือบริการตกต่ำมากซึ่งก็มักทำให้บริษัทขาดทุน  บางครั้งหนักมากและทำให้ราคาหุ้นตกลงมาแทบจะไม่มีค่า  แต่ก็ต้องมั่นใจว่าบริษัทสามารถยืนอยู่ได้  ส่วนเวลาขายหุ้นก็คือเวลาที่สินค้าปรับตัวขึ้นรุนแรงและน่าจะมีความต่อเนื่องไปอีกนานพอสมควร  ในช่วงเวลาแบบนั้น  ราคาหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นโดดเด่นและสูงขึ้นเรื่อย ๆ  โดยเฉพาะเมื่อกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นสูงมาก  บางทีทำให้ค่า PE เหลือแค่ไม่เกิน 5-6 เท่าก็มี  และนั่นก็คือเวลาขายหุ้น  อย่าไปคิดว่าหุ้นราคาถูกมากและไม่ยอมขาย

ผมเองเคยซื้อหุ้นแบบวัฎจักรเหมือนกันในช่วงเริ่มต้นเป็น VI ใหม่ ๆ  หลังวิกฤติปี 2540 แต่หลังจากนั้นก็แทบจะไม่สนใจเลย  เพราะผมคิดว่าบางทีวัฏจักรก็ยาวนานหรือสั้นกว่าปกติ  ผมไม่อยากจะต้องรอนานเกินไป  เพราะการลงทุนในหุ้นแบบอื่นอาจจะให้ผลตอบแทนที่เร็วกว่า  อย่างไรก็ตาม  ในช่วงแรกที่เข้าลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนาม  ผมใช้วิธีเลือกหุ้นโดยอาศัยเกณฑ์แบบ VI ที่คัดเลือกหุ้นที่มีราคาถูกมากโดยไม่สนใจว่าบริษัททำอะไร  ซึ่งก็ทำให้ได้หุ้นวัฏจักรติดเข้ามาไม่ต่ำกว่า 10-20 ตัว โดยที่ผมไม่รู้ตัว

หุ้นกลุ่มสุดท้ายก็คือหุ้นที่เฟื่องฟูหรือเติบโตตามสถานะทางเศรษฐกิจของประเทศ  พูดง่าย ๆ  ก็คือกิจการมีความได้เปรียบในการผลิตสินค้านั้นเมื่อเทียบกับประเทศอื่น  เพราะต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะค่าแรงที่ต่ำกว่า  ดังนั้น กิจการก็จะทำยอดขายและกำไรได้ดีจนกว่าประเทศจะพัฒนาขึ้นและต้นทุนค่าแรงสูงขึ้น  ตัวอย่างเช่น  ประเทศไทยในช่วง 50 ปีที่แล้ว  ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่เฟื่องฟูก็คือเกษตรกรรมเช่น  การค้าข้าว มันสำปะหลังและน้ำตาล  เป็นต้น  ต่อมาก็เป็นเรื่องของการเลี้ยงกุ้ง  ธุรกิจสิ่งทอ  มาเป็นอุตสาหกรรมก่อสร้าง  อุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออก  การบริโภคและการค้าปลีกสมัยใหม่ภายในประเทศ  การเงินส่วนบุคคล  และเรื่องของโทรคมนาคมและสินค้าและบริการเกี่ยวกับดิจิตอล  เป็นต้น  โดยที่เวลาซื้อหุ้นก็คือการเริ่มต้นของ “กระแส” ที่ประเทศกำลังเข้าสู่ “ยุค” นั้นในสังคม  ส่วนการขายหุ้นก็คือการ  “หมดยุค” ของอุตสาหกรรมนั้น  ความได้เปรียบในแง่ของการผลิตหรือให้บริการหมดไปเมื่อเทียบกับประเทศหรือสังคมอื่น  ผู้คนทั้งคนรุ่นเดิมและโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เลิกใช้เพราะมีของใหม่ที่น่าสนใจหรือดีกว่า

การ “บูม” ของหุ้นเวียตนามในช่วงปีนี้โดยเฉพาะที่นำโดยนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อยเข้ามาซื้อขายหุ้นในตลาดอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนได้ทำให้หุ้นโดยเฉพาะตัวเล็กปรับตัวขึ้นมามาก  และนั่นทำให้ผมเริ่มเข้ามาดูพอร์ตหุ้น “ชุดแรก” ของผมที่ประกอบไปด้วยหุ้นตัวเล็กเป็นร้อยตัวที่ผมไม่รู้ว่าทำหรือขายผลิตภัณฑ์อะไรอยู่  หุ้นจำนวนไม่น้อยมีราคาปรับขึ้นไปหลายเท่าในเวลาอันสั้นแค่ปีสองปี  บางตัวปรับขึ้นไปถึงเกือบ 10 เท่า  ผมเองไม่แน่ใจว่าราคาหุ้นแต่ละตัวนั้นเหมาะสมกับ “พื้นฐาน” ที่แท้จริงไหม  เพราะส่วนใหญ่แล้ว Market Cap. ของหุ้นก็ยังไม่เกิน 1,000 ล้านบาทไทยและค่า PE และอื่น ๆ ก็ยังดูไม่แพงเลย  อย่างไรก็ตาม  ผมเองก็ไม่อยากพลาด  “โอกาสขายหุ้น” ที่ผม  “ติด”  มานานจาก “ความผิดพลาด” ที่รีบเข้าไปซื้อหุ้นเวียตนามเมื่อ 5-6 ปีก่อน

หุ้นที่ผมเริ่มทยอยขายออกไปรอบนี้เพื่อที่จะ “ปรับพอร์ต” ให้กลายเป็นหุ้นตัวใหญ่ที่มีศักยภาพที่จะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในอีก 10 ปีข้างหน้ามีอย่างน้อย 10 ตัว  ส่วนใหญ่เป็นหุ้นโภคภัณฑ์ที่ผมคิดว่าถ้าไม่ขายตอนนี้ก็อาจจะหมดโอกาสขายในราคาที่ทำกำไรได้ดีแม้ว่าจะติดหุ้นมาหลายปี 

- กลุ่มแรกจำนวน 3-4 ตัว ก็คือหุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับยางพาราซึ่งช่วงนี้ดีขึ้นอานิสงค์จากความต้องการที่สูงขึ้นจากเรื่องของถุงมือยางป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 อีกส่วนหนึ่งน่าจะเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเช่น ยางรถยนต์ที่อาจจะเป็นที่ต้องการมากขึ้นอานิสงค์จากการฟื้นตัวของยอดขายรถยนต์  

- กลุ่มที่สองจำนวน 4-5 ตัว คือหุ้นเกี่ยวกับถ่านหินที่ราคาปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงนี้  อย่างไรก็ตาม  เนื่องจากเพิ่งเริ่มต้นของการฟื้นตัวที่ยังไม่ส่งผลถึงผลประกอบการ  ทำให้ปริมาณการซื้อขายหุ้นในกลุ่มนี้ยังน้อยและทำให้การขายยังไม่สามารถทำได้รวดเร็วแบบยางพารา  

- กลุ่มที่สามจำนวน 2-3 ตัว คือหุ้นเกี่ยวกับเหล็กที่ราคาปรับตัวขึ้นไปก่อนหน้านี้ซักระยะหนึ่งแล้วประกอบกับการที่มี Market Cap. ที่ใหญ่กว่ากลุ่มอื่นทำให้สามารถขายได้ค่อนข้างเร็ว  

- และสุดท้ายก็คือกลุ่มหุ้นที่กำลังอยู่ในวงจร  “ขาขึ้น”  ของสถานะเศรษฐกิจของเวียตนาม  นั่นก็คือ  หุ้นส่งออกสิ่งทอและหุ้นโบรกเกอร์หลักทรัพย์  ซึ่งผมขายออกไปได้ในปริมาณที่สูงและรวดเร็วที่สุด โดยที่ในทั้ง2อุตสาหกรรมนี้  ผมเกรงว่าพอผ่านไประยะหนึ่งเมื่อเศรษฐกิจเวียตนามพัฒนามากขึ้น    คู่แข่งจะเต็มไปหมดและการทำยอดขายมากและกำไรดีอาจจะลดลงคล้าย ๆ กับในตลาดหุ้นไทยในอดีต   

ทั้งหมดที่ขายไปและกำลังทยอยขายออกไปนั้น  ลึก ๆ  แล้วผมคิดว่าคงเป็นการ “ขายหมู”  หมายความว่า  หลังจากขายไปแล้วราคากลับสูงขึ้นไปกว่าเดิม  ว่าที่จริงหลายตัวที่ขายไปแล้วก็เป็นอย่างนั้น  ผมเองไม่ได้เสียดายอะไร  ผมคิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะขายได้ในราคาสูงสุดโดยเฉพาะในยามที่หุ้นกลุ่มนั้นยังร้อนแรง  ผมยังคิดต่อไปว่า  เมื่อขายไปแล้วก็จะต้องรีบนำเงินไปซื้อหุ้นตัวใหม่ในกลุ่มใหม่เช่นที่เป็นซุปเปอร์สต็อกที่ตอนนี้ยังไม่ได้ขึ้นไปมากเท่ากลุ่มโภคภัณฑ์ที่ขายออกไป  ดังนั้น  ถึงผมจะ “ขายหมู” ไปบ้าง  แต่ถ้าผมเอาเงินไปซื้อ “ลูกช้าง”  ในราคาต่ำกลับมา  ในระยะยาวพอร์ตของผมก็น่าจะดีขึ้น  ผมก็ได้แต่หวังว่า “เทศกาล” ขายหมูรอบนี้จะไม่จบลงเร็วเกินไปก่อนที่ผมจะขายได้หมด