มองต่างมุม: ธปท. VS คลัง

15 ก.ค. 2567 | 00:29 น.

หลายคนถามผมว่า ทำไมรัฐบาลกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มักมีข้อขัดแย้งกันในเรื่องอัตราดอกเบี้ย มาหลายยุคหลายสมัย ไม่ใช่แค่ยุคนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน กับ ผู้ว่าการ ธปท. ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ เท่านั้น

และดูเหมือนผู้ว่าการ ธปท. จะเป็นฝ่ายโดนบี้จากรัฐบาล จนครั้งหนึ่ง ดร. ป๋วย อึ๊งภากร อดีตผู้ว่าการ ธปท. ในยุคนายกรัฐมนตรีพลเอก สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถึงกับลาออกจากตำแหน่ง และเขียนหนังสือเตือนผู้ว่าการ ธปท. ทุกคนให้ยึดมั่นในหลักการ อย่ายึดติดกับตำแหน่ง และเป็นเช่นนี้มาตลอดทุกยุค ล่าสุดสมัยลุงตู่ ก็ผู้ว่าการ ดร. วีรไท สันติประภพ โต้กับรมว. คลัง ดร. อุตตม สาวนายน ซึ่งก็ไม่พ้นมีวาทะทางความคิดที่ต่างกันในเรื่องดอกเบี้ยนโยบาย แม้จะร่ำเรียนและมีความชำนาญทางการเงินระดับเซียนเหมือนกัน แต่การสวมหมวกต่างใบทำให้ทั้งสองฝ่ายมีความฝันที่ต่างกัน 

ที่น่าสังเกตของความขัดแย้งทุกครั้ง ระหว่างผู้ว่าการแบงค์ชาติกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้น เรามักจะเห็นว่าเป็นฝ่ายรัฐบาลโดยกระทรวงการคลังอยากให้ ธปท. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ผ่านมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในขณะที่แบงค์ชาติมักจะยืนอีกมุมหนึ่ง ซึ่งแต่ละฝ่ายก็มีกองเชียร์พอ ๆ กัน โดยดูจากกองเชียร์ก็พอจะรู้ว่าผลประโยชน์ตกอยู่กับใคร ส่วนใครจะถูก ใครจะผิด ตอบยากครับ เพราะขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นใคร มองเป้าหมายอย่างไร 
 

ผมมองว่าทั้งสองฝ่ายทราบถึงผลกระทบต่อเนื่องจากการดำเนินนโยบายลดหรือขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นอย่างดี และรู้ดีว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นเครื่องมือด้านนโยบายการเงินที่สำคัญในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศให้เข้าสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ และที่ขัดใจกันนั้นก็เป็นเพราะว่าการเรียงลำดับความสำคัญของเป้าหมายในการดูแลเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่ายไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง ฝ่ายรัฐบาลมองความเติบโตทางเศรษฐกิจระยะสั้น ๆ เป็นสำคัญ เนื่องจากเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จทางการเมืองที่สำคัญ และมีผลต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของตนเองด้วย ในขณะอีกฝ่ายมองถึงเสถียรภาพของเศรษฐกิจเป็นหลัก และการพัฒนาศักยภาพเศรษฐกิจของประเทศระยะยาว

เมื่อมามองรัฐบาลนี้ พวกเขาเข้ามาบริหารประเทศพร้อมคำมั่นสัญญากับประชาชนในคราวหาเสียง และในช่วงที่เป็นฝ่ายค้านว่าจะเข้ามาบริหารเศรษฐกิจให้เติบโตปีละ 5% และความคาดหวังของประชาชนที่ลงคะแนนเสียงเลือกพวกเขาให้มาบริหารประเทศ ว่า 8 ปีของ “ลุงตู่” ที่ทำไว้นั้น พวกเขาทำได้ดีกว่า และพอถึงวันนี้ วันที่พวกเขาเข้ามาทำงานเกือบหนึ่งปีแล้ว กลับมีคนตะโกนถามหา “ลุ่งตู่” มากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้พวกเขาเริ่มตระหนักว่าการอยู่ข้างเวทีและตะโกนวิจารณ์นักมวยนั้น กับการขึ้นชกเองบนเวทีนั้นต่างกันมาก เพราะเวลาอยู่ข้างเวทีเราจะเห็นภาพทุกอย่างชัดในมุมกว้าง 

ดังนั้น พอให้คำวิพากษ์วิจารณ์ เลยทำให้ดูดี เข้าท่า ถูกใจบรรดาแฟน ๆ  แต่พอขึ้นเวทีเอง สถานการณ์ ข้อจำกัด เงื่อนไข กฎ กติกา ต่างกับตอนที่ตนเองเชียร์อยู่ข้างเวทีมากนัก แถมวันนี้คนที่อยู่ข้างเวทีของรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา โดยเฉพาะ ธปท. และสภาพัฒน์ฯ ที่นึกว่าจะเป็นพี่เลี้ยงให้ กลับกำลังตะโกนวิพากษ์วิจารณ์ว่ามาตรการบางอย่าง เช่น การแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ไม่เหมาะกับสถานการณ์และได้ไม่คุ้มเสีย ซึ่งปัญหาเศรษฐกิจที่สำคัญคือปัญหาโครงสร้าง 
 

หากจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจต้องให้ความสนใจกับการปรับโครงสร้างการผลิต การพัฒนาบุคลากร การแก้ระเบียบกฎหมาย หรือการสร้างระบบสนับสนุนการวิจัยพัฒนา ฯลฯ น่าจะดีกว่า แต่รัฐบาลกลับเดินหน้าแบบไม่คิดแตะเบรกในการจะแจกเงินดิจิทัล เรื่องนี้ ต้องให้ความเป็นธรรมกับท่านนายกฯ เพราะท่านต้องห่วงกับคะแนนเสียงของพรรคท่าน เนื่องจากสัญญากับแฟน ๆ ไว้แล้ว 

ถึงแม้ท่านจะรู้ว่าต้นทุนในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการคลังในอนาคต หรือการสูญเสียโอกาสในการลงทุนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจก็ตาม แต่ความสำคัญของรัฐบาลในวันนี้อยู่ที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะสั้น ที่กลายเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของการบริหารงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งคนที่ลงคะแนนเลือกตั้งให้ฝากความหวังไว้ และที่สำคัญหัวหน้าค่ายสั่ง “ลุย”  

ส่วนการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น มองในมุมของรัฐบาลก็คือ การกำหนดให้ดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ลดลง ภาระทางการเงินของประชาชนโดยเฉพาะลูกหนี้ลดลง และต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการลดลง พอหายอกหายใจได้ในยามเศรษฐกิจชะลอตัว ประชาชนมีเงินเหลือจากการใช้หนี้มากขึ้นแล้วนำมาใช้จ่าย ทั้งหมดก็หวังเพื่อการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยดันให้ GDP ของประเทศขยับขึ้นได้ในระยะสั้น เพราะการที่เศรษฐกิจขยายตัวสูงนั้น จะช่วยการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น ผู้คนมีรายได้มากขึ้น และความเป็นอยู่ผู้คนดีขึ้น ส่วนผู้ประกอบการก็มีทุนในการลงทุนพัฒนาความสามารถมากขึ้น ซึ่งก็เป็นหลักการที่รู้ ๆ กัน แม้ว่าจะสูงขึ้นแบบวูบวาบชั่วคราวและตกมาที่ระดับศักยภาพที่เป็น แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไร และหากจะพัฒนาศักยภาพหรือปรับโครงสร้างเศรษฐกิจก็ดูต้องใช้เวลานาน   
    
แต่ในมุมของ ธปท. ที่ใช้นโยบายการเงินแบบ “Inflation Targeting” คือ การจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งเป็นหนึ่งในหลายเครื่องมือการเงินนั้นจะดูจากอัตราเงินเฟ้อเป็นสำคัญ หากจะลดอัตราดอกเบี้ยและดันการบริโภคหรือการลงทุนเพิ่มขึ้นนั้น ก็ต้องดูประสิทธิภาพของตัวคูณบนเส้นทางการเดินของผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยไปถึงการบริโภคและการลงทุน ตัวอย่างเช่น หากลดดอกเบี้ยลงแล้ว การลงทุนภาคเอกจะเพิ่มขึ้นมากหรือน้อย แม้ว่าต้นทุนทางการเงินจะลด แต่การลงทุนอาจเพิ่มไม่มากเพราะผู้ประกอบการยังมีปัญหาเรื่องการเข้าถึงสินเชื่อ ซึ่งอาจเป็นเพราะมีหนี้สินเยอะอยู่แล้ว หรือความสามารถในการใช้หนี้คืนมีน้อย หรือการบริโภคอาจไม่เพิ่มเท่าที่ควร เพราะวันนี้ต้องมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นและหนี้เยอะ 

แต่ในทางลบนั้น ในเชิงมหภาคอาจส่งผลทำให้ผลตอบแทนทางการลงทุนน้อย การโยกเงินลงทุนออกนอกประเทศมีมากขึ้น ราคาหุ้นตก และลามไปถึงค่าเงินบาทอ่อนตัวเพราะคนจะแลกเงินสกุลต่างประเทศเพื่อนำไปลงทุนในต่างประเทศที่มีผลตอบแทนสูงกว่า รวมทั้งลามไปถึงต้นทุนการผลิตที่สูง และเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ซึ่ง ธปท. ต้องดูสถานการณ์ทั้งในและต่างประเทศพร้อม ๆ กัน 

ดังนั้น ความฝันของ ธปท. ในการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นหรือลงนั้น มุ่งหวังจะให้อัตราเงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยน หรือตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ไม่ผันผวน หวือหวา รวมทั้ง GDP มีอัตราการขยายตัวตามศักยภาพของระบบเศรษฐกิจ  

 สำหรับผมแล้ว การเผชิญหน้าเรื่องดอกเบี้ยนโยบาย ผมถือว่าเป็นเรื่องปกติของรัฐบาลและ ธปท. และพวกเราควรถือว่าเป็นสิ่งที่ดี และโชคดีของเศรษฐกิจไทย เพราะว่า คำติง คำคัดค้าน ของอีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะทำให้อีกฝ่ายต้องระมัดระวัง พินิจ วิเคราะห์ และดูให้ถี่ถ้วนในการเดินนโยบายของตนเอง เพื่อให้มีประสิทธิภาพต่อเศรษฐกิจโดยรวมได้อย่างเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ และเราควรต้องระวัง ดูให้ละเอียด และหวาดกลัวทุกครั้งที่รัฐบาลและ ธปท. เออออห่อหมกกันอย่างง่าย ๆ ในเรื่องการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือหาก “ฝัน” ของรัฐบาลและ ธปท. เหมือนกันเมื่อไร แสดงว่าเศรษฐกิจเรากำลังไปได้ดีมาก หรือไม่ก็ต้องจับตาเฝ้าระวังทั้งสองฝ่ายนี้ให้ดี เพราะเรามีบทเรียนจากวิกฤติต้มยำกุ้ง ในปี 2540 มาแล้ว