Origi-NAN: ลมหายใจใหม่ของ “น่าน”

04 ก.ย. 2566 | 01:07 น.

ทุกครั้งที่มาเยือนน่าน ผมมักได้เจออะไรใหม่ ๆ ที่ทำให้เมืองเก่าที่มีชีวิตแห่งนี้ยังคงเสน่ห์ให้หลงมิเสื่อมคลาย และการมาครานี้ก็เช่นกัน

ผมได้เห็นลมหายใจของน่านวันนี้กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยลมหายใจของคนรุ่นใหม่ที่เต็มไปความกระตือรือร้น ด้วยความคิดสร้างสรรค์ และความรักและภูมิใจในบ้านเกิดของตนเองแห่งนี้  

การเยือนน่านในภารกิจของวุฒิสภาคราวนี้ น้อง ๆ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดน่าน นำทีมสมาชิกวุฒิสภาดูโครงการต่อยอดของการพัฒนาคลัสเตอร์เกษตรแปรรูปและอาหารที่พวกเขาดูแลอย่างต่อเนื่อง และวันนี้ก็ไปไกลกว่าที่เคยเป็น โดยการให้น้อง ๆ สมาชิกคลัสเตอร์ฯ รวมตัวกันรังสรรค์แบรนด์ที่เป็น Umbrella Brand ของน่านขึ้นมา ในชื่อ Origi-NAN ก็มาจากคำว่า “Original NAN”

ซึ่งก็หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่มีรากเหง้าหรือต้นกำเนิดจากน่าน ไม่ว่าอะไรก็ตามผลิตภัณฑ์นั้นต้องบ่งบอกความเป็นน่าน มีอัตลักษณ์ และการดำรงอยู่ หรือเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ ที่ผู้คนทั่วไปสามารถรับรู้ถึง “น่าน” ได้

Origi-NAN: ลมหายใจใหม่ของ “น่าน”

น้อง ๆ กลุ่มเกษตรแปรรูปฯ ในคลัสเตอร์นี้ ได้ที่นำด้วย ธีระยุทธ์ จันทร์คล้าย หรือ “ยอร์ซ” ที่ช่วยกันระดมความคิดว่าอะไรคืออัตลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นน่านในมิติของเกษตรได้บ้าง เพื่อนำมาสร้างให้เป็นตัวบ่งชี้ถึงน่านได้ดี แม้จะมีพืชเกษตรหลายตัวพอทำให้รู้ว่าคือน่าน แต่ที่น้อง ๆ เหล่านี้เลือกก็คือ “ส้มสีทอง” ซึ่งเป็นผลไม้ที่ได้ขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ GI (Geological Indication) และปรากฏในคำขวัญของจังหวัดน่านอยู่แล้ว 

แนวคิดของกลุ่ม Origi-NAN นั้น ผมเชื่อว่านี้คือวิธีคิดที่ถูกต้องของการพัฒนาชุมชนในโมเดล OVOP (One Village One Product) ของญี่ปุ่น ที่สร้างผลิตภัณฑ์ของตนเองบนฐานอัตลักษณ์ของชุมชน ซึ่งในความจริงแล้ว เท่าที่ผมเห็น เขาไม่ได้หมายถึงว่ามีผลิตภัณฑ์นั้นเพียงอย่างเดียว

แต่เขามีหลายผลิตภัณฑ์ในชุมชนและทุกตัวมีอัตลักษณ์เดียวกัน ผมเคยเห็นเมืองหนึ่งของญี่ปุ่น ใช้ผลไม้ชื่อ “บิวะ” เป็นอัตลักษณ์ในการสร้างผลิตภัณฑ์หลาย 10 ประเภท ตั้งแต่ สบู่ แชมพู ครีมสารพัดประเภท แยม เยลลี่ ไอศกรีม ส่วนผสมอาหาร หรือแม้กระทั่งแกงกะหรี่ญี่ปุ่นที่ผสมผลไม้นี้ลงไปด้วย ผมลองชิมมาแล้ว แม้ว่ารสชาติยังคงเป็นข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นเหมือนทั่วๆ ไป แต่ก็มีอัตลักษณ์ของบิวะผ่านกลิ่นอ่อน ๆ พอให้รู้ถึงความพิเศษ จนทำให้กลายเป็นเมนูที่ผู้มาเยือนต้องลองชิม ไม่งั้นคาใจแน่ ๆ 

Origi-NAN: ลมหายใจใหม่ของ “น่าน”

Origi-NAN นั้น ผมคิดว่าเป็นเพียงก้าวเล็ก ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ในความคิดที่ใหญ่และมองไปไกลของน้อง ๆ เหล่านี้ ผมฟัง “ยอร์ช” และคนอื่น ๆ แย่งกันเล่าความฝันของพวกเขาให้ผมฟังอย่างกระตือรือร้นว่า พวกเขาไม่ได้มองแค่มิติของผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่พวกเขามองไปถึงวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ที่ชอบธรรมชาติ เงียบ ๆ สบาย ๆ และภูมิใจในพื้นถิ่นที่เปี่ยมไปด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น

ดังนั้น มิติที่พวกเขามองมีทั้ง Local Wisdom, Natural living, Tourism และ Agri-products ที่เป็นวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ทั้งในวันวานและวันนี้ ทำให้ผมรู้ว่าพวกเขายังมีอะไรอีกมากที่จะทำให้ผู้คนที่เฝ้ามองพวกเขาได้ตื่นเต้นและชื่นชมอีกมาก 

วันนี้ ในย่างก้าวแรก พวกเขาเลือกผลส้มสีทองเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ที่สมาชิกเครือข่ายมีความชำนาญดังเดิม     อยู่แล้ว เรียกว่าใช้นวัตกรรมใหม่ร่วมกับภูมิปัญญาเดิมที่แต่ละคนชำนาญและมีตลาดอยู่แล้ว 

เท่าที่ผมได้สัมผัสก็มี บะหมี่มอลต์ส้มสีทอง ของ “น้องโอ๊ค” จากวิสาหกิจชุมชนน่านมอลต์ ที่ทำบะหมี่สำเร็จรูปมอลต์มาแล้ว หรือ “น้องการ์ตูน” เจ้าของน้ำจิ้มข้าวมันไก่ “โกเต็ง” ก็มี “ซอสส้มสีทอง” ที่ใช้ราด ผสม หมัก และจิ้มได้กับสารพัดสิ่ง หรือ คร้าฟค์โซดาส้มสีทอง  ของ “ยอร์ซ” จากวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปมะไฟจีนบ้านกอก ที่ดื่มชื่นใจแบบฟิน ๆ ของคนรุ่นใหม่ หรือน้ำสลัดส้มสีทองที่เนื้อน้ำสลัดแน่นจนสัมผัสถึงเนื้อส้ม

ส่วนกลิ่นนั้นกำลังพอดีที่เป็นน้ำสลัดแบบคลาสสิกที่ทุกคนคุ้นเคยแต่อร่อยอย่างมีอัตลักษณ์ของ “น้องกอล์ฟ” เจ้าแม่มะแขว่น จาก “หจก. หอมเครื่องฟู้ด” และที่มาแบบเป็นเซทบรรจุภัณฑ์ 4 ใบเถาอย่างสวยงาม ที่มีรูปส้มสีทองและแผนที่จังหวัดน่านซ่อนอยู่แบบเท่ ๆ คือ ชาใบเมี่ยง ของ “ป้าตุ้ม” จากวิสาหกิจชุมชนชาเมี่ยง

Origi-NAN: ลมหายใจใหม่ของ “น่าน”

และยังมี สวิทคอนบาร์ซอสส้ม ของ “น้องว่าน” จากน่านวรรณวัตร รวมทั้ง ธัญพืชอัดแท่งส้มสีทองของ “น้องปุ้ย”และเยลลี่กัมมี่ส้มสีทอง ของน้องอารี นายใหญ่ของบ้านถั่วลิสง ที่ผมลองชิมแล้ว “เบรกแตก” ครับ หยุดไม่อยู่จริง ๆ และอีกอย่างหนึ่งของ “หจก.เขียวสมบัติ ฮันนี่ บี” ที่ต้องเอ่ยถึง เพราะได้ลองชิมแล้ว

นี่เลยครับ เครื่องดื่มส้มสีทองเข้มข้น ที่เป็นสุดยอดของความชื่นใจ ทั้งหอม หวานเปรี้ยว สุดยอดในการทำเป็นเครื่องดื่มเย็น ๆ ยามร้อน ๆ จริงครับ และอีกอันหนึ่งที่ลืมไม่ได้ ก็คือเห็ดธัญพืชซอสส้มสีทองของ "น้องขิม" จาก วินเนอร์ 88 อินเตอร์ กรุ๊ป ที่มาเป็นหนึ่งในพลังของ Origi-NAN 

แนวคิดของคนรุ่นใหม่นี้ เรียกว่าใครเก่งอะไรก็เริ่มจากตรงนั้น และใช้นวัตกรรมเอาส่วนของส้มสีทองส่วนใดส่วนหนึ่ง ใส่ลงไปในผลิตภัณฑ์ตนเอง พวกเขาใช้ทุกส่วนของผลส้ม ตั้งแต่เปลือก เนื้อ และน้ำส้ม ตามความเหมาะสมเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ออกมาเหมือนที่พวกเขาจินตนาการ แต่เต็มไปด้วยนวัตกรรมที่สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาบนฐานของอัตลักษณ์ร่วม ที่บ่งบอกความเป็นน่าน และที่ชาญฉลาดไปกว่านั้น

พวกเขาตกลงเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความพร้อมในการผลิตที่จะทดลองตลาด เพื่อดูว่าการที่อยู่ภายใต้ กลุ่มอัตลักษณ์เดียวกันของความเป็นน่าน จะมีผลออกมาจะเป็นอย่างไร ซึ่งถ้าหากประสบความสำเร็จแล้ว ผมเชื่อว่า น่าน ยังมีอื่น ๆ ที่มีความเป็นน่านให้นำมาใช้ตามแนวคิดของน้องกลุ่มนี้อีกได้เยอะ เช่น มะแขว่น ฯลฯ ใครจะไปรู้ว่า   อีกไม่นานเราอาจได้ยิน คร้าฟค์เบียร์มะแขว่นหรือเมรัยรสนิ่ม ๆ จากมะไฟจีนที่เป็นผลไม้ที่มีความเป็น “น่าน” ก็ได้ เรื่องนี้ต้องฝาก “น้องกอล์ฟและพี่หนิง” ละครับ

Origi-NAN เป็นแนวคิดนี้ที่ผมเชื่อว่าเราไม่จำเป็นที่จะต้องมีหนึ่งหมู่บ้านหรือหนึ่งตำบลแล้วมีแค่ผลิตภัณฑ์เดียว แต่เราอาจจะมีหนึ่งตำบล แต่มีหลาย 100 ผลิตภัณฑ์ ที่มีความแตกต่างกัน แต่ต้องมีอัตลักษณ์เดียวกันในผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้น ๆ ซึ่งตรงกับแนวคิดดั้งเดิมของในหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์หรือ OVOP ต้นฉบับจากญี่ปุ่น และน่าจะมี impact ต่อผู้คนในวงกว้างได้มากกว่าแบบที่เห็นในปัจจุบันที่หลายร้อยตำบลแต่มีผลิตเดียวกัน จนแยกไม่ออกว่ามาจากไหน อัตลักษณ์ของใครเป็นของใคร และสำหรับผม Origi-NAN คือตัวอย่างที่ดีที่สุด ของการใช้ประโยชน์ของอัตลักษณ์ชุมชนได้อย่างชาญฉลาดที่สุด

แม้ว่าในวันนี้ กลุ่มนี้อาจจะอยู่ในระดับเริ่มต้นและยังต้องเผชิญปัญหา และมีข้อจำกัดในการพัฒนาตามความฝันของพวกเขา ไม่ว่าด้านกฎระเบียบ มาตรการสนับสนุนของรัฐ และการรับรู้ของผู้คนที่เป็นลูกค้า ที่อาจทำให้พวกเขาไม่สามารถปล่อยพลังออกมาได้เต็มศักยภาพ และทำไปได้อย่างสุด ๆ อย่างเต็มที่ตามที่ฝัน ในเวลารวดเร็วได้

แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมเฝ้าดูคนหนุ่มสาวเหล่านี้เติบโตแต่ละช่วงเวลา วันนี้พวกเขาเหล่านี้มีทั้งกำลัง ความคิด สติปัญญา และศักยภาพทางธุรกิจ ในระดับหนึ่ง และยิ่งวันนี้พวกเขาเติมเต็มด้วย กลยุทธ์ ความสามัคคี และความรัก ความภูมิใจในความเป็นน่าน นำมารวมกันเป็นลมหายใจใหม่ของเมืองเก่าที่มีชีวิตที่เรียกว่า “น่าน” แห่งนี้