การใช้ Leverage ในตลาดหุ้น

05 มี.ค. 2568 | 21:35 น.

การใช้ Leverage ในตลาดหุ้น คอลัมน์ SUPER TRADER โดย พิทวัส เกียรติวีรชน Super Trader

KEY

POINTS

  • Leverage ช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุน: หากราคาหุ้นเคลื่อนไหวตามที่คาดการณ์ จะทำให้กำไรเพิ่มหลายเท่า แต่ถ้าตลาดตรงกันข้ามกับคาดการณ์ อาจทำให้ขาดทุนสูงหลายเท่าได้เช่นกัน
  • การใช้ Leverage ควรพิจารณาความเสี่ยงอย่างรอบคอบ: การใช้ Leverage สูงเกินไปในตลาดที่ผันผวนอาจทำให้เสียหายหนักได้ ควรกำหนดขีดจำกัดและวางแผนความเสี่ยงอย่างชัดเจนก่อนการลงทุน

การใช้ Leverage ในตลาดหุ้น คอลัมน์ SUPER TRADER โดย พิทวัส เกียรติวีรชน Super Trader

 

Leverage เป็นเครื่องมือที่ใช้เพิ่มอำนาจในการซื้อหุ้นหรือขายหุ้น ที่มากกว่าจำนวนเงินที่นักลงทุนมีอยู่จริง เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากตลาดหุ้นและตลาดซื้อขายล่วงหน้า ให้มากขึ้น โดยผ่าน product ทางการเงินต่างๆที่โบรกเกอร์มีให้แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ leverage มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ต้องไต่ตรองอย่างรอบคอบ ก่อนนำมาใช้ ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์การลงทุนมาแล้ว

 

1. ความหมายของ Leverage

Leverage คือ การงัด เปรียบเสมือนเราเอาเงินขนาดเล็กไปงัดเงินขนาดใหญ่ โดยใช้เงินกู้โบรกเกอร์ และสินค้าที่มี Leverage เพื่อเพิ่มขนาดของเงินลงทุนที่เรามีอยู่จริง เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้มากขึ้น

ถ้าอัตรา Leverage 1:5 หมายความว่า เราใช้เงินลงทุนของตัวเอง 1 หน่วย สามารถเปิดสถานะการลงทุนได้ถึง 5 หน่วย สมมติ เรามีเงินลงทุน 100,000 บาท ต้องการซื้อหุ้นที่ราคา 100 บาท/หุ้น เราจะสามารถซื้อหุ้นได้ทั้งหมด 1000 หุ้น แต่หากใช้ Leverage 1:5 (Leverage 5 เท่า) สามารถซื้อหุ้นได้จำนวน 5000 หุ้น ซึ่งมากกว่า เงินที่เรามีจริงถึง 5 เท่า

 

การใช้ Leverage ในตลาดหุ้น

ยกตัวอย่างกรณี ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 10%

  • กรณี ไม่ใช้ Leverage : เราจะได้กำไร คือ (110 - 100) × 1000 = 10,000 บาท แสดงว่า เราทำกำไรได้ 10% จากเงินที่เรามีอยู่
  • กรณี ใช้ Leverage 5เท่า : เราจะได้กำไร คือ (110 - 100) × 5000 = 50,000 บาท แสดงว่า เราทำกำไรได้ 50% จากเงินที่เรามีอยู่

ในทางตรงกันข้าม กรณีที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 10%

  • กรณี ไม่ใช้ Leverage : เราจะขาดทุน = (100 - 90) × 1000= 10,000 บาท แสดงว่า เราจะขาดทุน 10% จากเงินที่เรามีอยู่
  • กรณี ใช้ Leverage 5เท่า : เราจะขาดทุน = (100 - 90) × 5000 = 50,000 บาท แสดงว่า เราจะขาดทุน 50% จากเงินที่เรามีอยู่

จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่าการใช้ Leverage สามารถเพิ่มกำไรได้หลายเท่า แต่ในทางตรงกันข้าม สามารถเพิ่มอัตราการขาดทุนได้หลายเท่าด้วยเช่นกัน

ดังนั้น ก่อนใช้ Leverage ทุกครั้งควรประเมินถึงความเสี่ยงด้วยเสมอ เนื่องจากเวลาเราใช้ Leverage ถูกทาง จะสร้างผลตอบแทนให้เราเยอะ แต่ในทางกลับกัน ถ้าใช้ Leverage ผิดทาง ก็อาจจะสร้างความเสียหายหนักให้กับพอร์ตการลงทุนของเราได้มากเช่นกัน

การใช้ Leverage ในตลาดหุ้น

ประเภทของ Leverage ในตลาดหุ้น

ในตลาดหุ้นไทย การใช้ Leverage อยู่หลากหลายรูปแบบ โดยสามารถแบ่งออกเป็นประเภทหลัก ๆ ดังนี้

1. การซื้อขายด้วยมาร์จิ้น (Margin Trading)

Margin Trading เป็นการซื้อขายหุ้น โดยการกู้เงินจากโบรกเกอร์ เพื่อเพิ่มอำนาจการซื้อให้มากกว่า เงินที่มีอยู่จริง รวมถึงต้องมีการเสียดอกเบี้ยให้กับโบรกเกอร์

โดยสิ่งสำคัญ ที่ต้องรู้เมื่อใช้ Margin

  1. Initial Margin (หลักประกันขั้นต้น) คือ หลักประกันขั้นต้น ซึ่งเป็นจำนวนเงินขั้นต่ำที่นักลงทุนต้องวางไว้กับ โบรกเกอร์ก่อนเปิดสถานะ ซื้อ-ขาย หุ้น
  2. Maintenance Margin (หลักประกันรักษาสภาพ) คือ หลักประกันขั้นต่ำ ที่นักลงทุนจะต้องรักษาเอาไว้ในบัญชี หากเงินในบัญชีลดลงมากกว่าระดับที่โบรกเกอร์กำหนด โบรกเกอร์จะแจ้งให้นักลงทุนเติมเงินหลักประกันเพิ่ม หรือ Margin Call

กรณีที่ไม่เติมเงินเพิ่ม มีโอกาสถูกบังคับขายหุ้น

2. SET50 Index Futures

สัญญา ซื้อ-ขายล่วงหน้าที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นดัชนี SET50 ซึ่งประกอบด้วยหุ้น 50 ตัวที่มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาด ซึ่งทิศทางจะเป็นไปตามการเคลื่อนตัวของหุ้นทั้ง 50 ตัว หรือเราสามาถใช้ในการป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตหุ้นได้ ในกรณีหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดลง โดยสามารถเปิดสถานะได้ทั้งฝั่งขึ้น(Long) เมื่อคาดว่าตลาดจะปรับตัวขึ้น และฝั่งลง (Short) เมื่อคาดว่าตลาดจะปรับตัวลง โดย SET50 Index Futures จะเปิดก่อนตลาดจริง โดยเริ่มซื้อ-ขาย เวลา 09.45 น.

3. Derivative Warrants (DW)

คือ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่ให้สิทธิในการซื้อหรือขายหุ้นในอนาคต ซี่งมักจะอ้างอิงกับหุ้นขนาดใหญ่ โดยราคา DW จะเคลื่อนไหวตามราคาหุ้นอ้างอิง(หุ้นแม่) โดยแบ่งเป็น Call DW (เราคาดว่าราคาหุ้นอ้างอิงจะปรับตัวขึ้น) และ Put DW (เราคาดว่าราคาหุ้นอ้างอิงจะปรับตัวลง) จะเห็นได้ว่าเราสามารถทำกำไรได้ทั้ง 2 ฝั่ง ไม่ว่าหุ้นอ้างอิงจะปรับตัวขึ้นหรือปรับตัวลง แต่ข้อเสียของ DW คือ จะมีวันหมดอายุ และจะมี Time decay คือ ค่าเสื่อมเวลา ซึ่งบ่งบอกว่าเมื่อเวลาผ่านไปราคา DW จะลดลงไปด้วย แม้ว่าราคาหุ้นอ้างอิงอยู่ที่เดิม ดังนั้น DW จึงเหมาะกับการเทรดในระยะสั้นมากกว่าระยะยาว

4. Single Stock Futures

สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่มีหุ้นสามัญขนาดใหญ่ เป็นตัวอ้างอิงสามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้น Long (เราคาดว่าราคาหุ้นอ้างอิงจะปรับตัวขึ้น) และ Short (เราคาดว่าราคาหุ้นอ้างอิงจะปรับตัวลง) โดยการซื้อ-ขาย Single Stock 1 สัญญา คือการซื้อหุ้นอ้างอิง 1000 หุ้น แต่ข้อเสีย ของ Single Stock ที่พบเห็น ณ ปัจจุบันคือสภาพคล่องน้อย รวมถึงการใช้ Leverage ใน Single Stock อาจเสียหายหนักได้ ถ้าหุ้นเคลื่อนตัวไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่เราคิด

5. การใช้ Block Trade

Block Trade เป็นอีกเครื่องมือ ที่ Leverage สูงมาก โดยใช้เพื่อซื้อหุ้นขนาดใหญ่ผ่านโบรกเกอร์ โดย Block Trade มักใช้ได้กับหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง และสิ่งสำคัญ คือ ต้องทำคำสั่งซื้อขายผ่านเจ้าหน้าที่การตลาดของโบรกเกอร์ ผ่านการโทรศัพท์ เนื่องจากการเล่น Block Trade เป็นการซื้อ-ขายขนาดใหญ่ และ มีมูลค่าของสัญญามาก ดังนั้นก่อนการซื้อ-ขาย ควรวางแผนให้ดี เพื่อรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นด้วย

 

การใช้ Leverage ในตลาดหุ้น

 

ความเสี่ยงของ Leverage

1. มีโอกาสในการขาดทุนเพิ่มขึ้น

จากที่กล่าวไปข้างต้น Leverage ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนด้วยเช่นกัน หากราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ อาจทำให้สูญเสียเงินจำนวนมากอย่างรวดเร็ว ดังนั้น การกำหนดจุด Stop loss หรือ จุดควบคุมความเสี่ยงไว้เสมอเพื่อป้องกันการเสียหายหนัก

2. เกิดเสียหายหนักได้ กรณีทีตลาดผันผวน

นักลงทุนบางท่านใช้ Leverage สูงมากจนเกินไป เวลาที่ตลาดผันผวนหนักแล้วราคาไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับสถานะที่ถืออยู่ รวมถึงมีโอกาสโดน Margin Call เวลาปรับตัวขึ้นและลงด้วยความแรงและเร็ว

ดังนั้น เราควรใช้ Leverage ในปริมาณที่พอดี และในความเสี่ยงทียอมรับได้

3. เสียค่าธรรมเนียมเพิ่มมากขึ้น ตามจำนวนที่ใช้ Leverage มากขึ้น

ในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงมาอย่างหนักตั้งแต่ต้นปี รวมถึงมีความผันผวนที่ค่อนข้างสูงมาก การใช้ Leverage อาจจะเป็นตัวช่วยที่ทำให้เราได้กำไรเมื่อ ออกสถานะถูกฝั่ง แต่ถ้ามองในทิศทางตรงกันข้าม ก็อาจจะเสียหายหนักได้ ดังนั้น ลองศึกษาประเภทรวมถึงเครื่องมือที่มีการใช้ Leverage ก่อนเริ่มซื้อ-ขายจริง เพราะแต่ละประเภทก็ใช้กับสินค้าต่างกัน อัตรา Leverage ที่ต่างกัน