SABUY ชูเกียรติ...ถอดใจ!

10 เม.ย. 2567 | 00:00 น.

SABUY ชูเกียรติ...ถอดใจ! : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์

*** ชัดเจนว่าสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้น SABUY ปรับลง 2 ฟลอร์ จนเกือบแตะฟลอร์ที่ 3 มีสาเหตุมาจากการที่นักลงทุนทั้งรายใหญ่...รายย่อยถูก Force Sell หรือการ “บังคับขาย” หลังจากที่ราคาหุ้นปรับร่วงลงต่อเนื่องกันหลายวัน โดยเฉพาะในส่วนของอดีตผู้บริหารที่เพิ่งจะลาออกจากทุกตำแหน่ง แม้จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ อย่าง “ชูเกียรติ รุจนพรพจี” ดูเหมือนจะเจ็บหนักกว่าใคร

พร้อมกันนี้ยังมีข่าวซุบซิบว่า “ชูเกียรติ” ก็ถูก Force Sell อย่างหนักจนเกิดอาการ “ถอดใจ” ถึงกับต้องขอเว้นวรรค จากสังคมเป็นการชั่วคราว 

นอกจากนี้ยังมีข่าวว่า “ณรงค์ชัย ว่องธนะวิโมกษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานบัญชีและการเงิน ( GROUP CFO) ก็ได้ลาออกตาม “ชูเกียรติ” ไปอีกคน และนั่นก็ทำให้การก้าวเข้ามาของ “วิรัช มรกตกาล” ดูเหมือนอาจเป็นการส่งสัญญาณว่า SABUY จะไม่ใช่เพียงเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายความไปถึง “กลุ่มทุน” ที่อยู่เบื้องหลัง ก็กำลังจะเกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

ส่วนการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ จะส่งผลกระทบกับอนาคตของ SABUY มากแค่ไหนนั้น หากมีข้อมูลเพิ่มเติม เจ๊เมาธ์ก็ไม่พลาดที่จะเอามาเล่าให้ฟังแน่นอน ตอนนี้เพียงแค่รอ...อีกไม่นานก็คงจะได้รู้กันแล้วค่ะ

*** มีคนสงสัยว่าทำไม ทั้งที่ทองคำปรับราคาขึ้นทุกวัน แต่ทำไมหุ้นบริษัทค้าทองอย่าง AURA กลับทรงตัว ไปจนถึงขั้นปรับลงไปด้วยซ้ำ สำหรับเรื่องนี้ อย่างแรกก็ต้องบอกว่า มีสาเหตุมาจากราคาทองที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ทาง AURA จำเป็นที่จะต้องใช้เงิน เพื่อหมุนเวียนในการซื้อทองคำมาก ตามปริมาณการซื้อขายทองคำ ที่มีมากจนเป็นเหตุให้สภาพคล่องที่เป็นเงินสดหายไปจากระบบ โดยมีทองคำเข้ามาเป็นสินค้าคงคลัง ซึ่งอาจจะมีมากขึ้นมาแทน 

ส่วนเรื่องที่สองคือ เรื่องของระบบธุรกิจร้านทอง ซึ่งมักจะใช้ระบบการซื้อมาขายไปเป็นหลัก ซึ่งนั่นก็ทำให้กำไรของร้านทอง จึงไม่แตกต่างไปจากที่เคย แม้ว่าราคาทองคำจะแพงมากขึ้นแค่ไหน แต่อัตราส่วนการทำกำไรของ AURA ก็ยังแทบจะไม่แตกต่างไปจากเดิมนั่นเองเจ้าค่ะ

*** หลังจากที่ บริษัท เอสเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (SFTH) ได้เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX ในราคา 5.50 บาท/หุ้น ส่งผลให้ บริษัท วี จี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ที่ถือหุ้นจำนวน 269,230,900 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 15.45% และ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ที่ถือหุ้นจำนวน 88,100,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 5.06% ก็ได้โอกาสปลดล็อคภาระ ในการที่ต้องแบกเอาการรับรู้ราคาหุ้น ที่มีมูลค่าลดลงทุกวัน ออกจากตัวเองไปได้เป็นผลสำเร็จ 

อย่างไรก็ตาม...การที่ KEX ยังคงทำผลงานในแบบขาดทุนต่อเนื่องมาตลอดแบบนี้ ก็ส่งผลให้ราคาหุ้นของ KEX ที่พยุงราคาที่ 5.50 บาท มาได้หลายเดือน มีอันที่จะต้องกลับเข้าสู่ภาวะของความเป็นจริงในท้ายที่สุด เนื่องจากเมื่อจบรายการพิเศษไปแล้ว หุ้นอย่าง KEX  ก็ไม่มีอย่างอื่นที่น่าสนใจอีกเลย

และนั่นก็สอดคล้องกับสิ่งที่เจ๊เมาธ์พูดถึงหุ้นตัวนี้มาตลอดว่า ถ้ายังไม่มีสัญญาณดีก็ให้อยู่ห่างๆ ไม่ต้องรีบ เอาไว้มีสัญญาณดีๆ แล้วค่อยมาว่ากัน ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบค่ะ

*** ส่วนทางหุ้นกลุ่มตัวเจ อย่าง JMART JMT SINGER SGC รวมไปถึง J ยังเป็นหุ้นที่ราคาหุ้นยังอยู่ในโซนของราคาต่ำสุดในรอบหลายปี ขณะเดียวกันเจ๊เมาธ์เองก็ยังมองไม่เห็นว่า ทิศทางการกลับตัวของราคาหุ้นได้ในช่วงเวลาอันสั้น 

แน่นอนว่าเจ๊เมาธ์เองก็เข้าใจว่า ในฐานะของผู้บริหาร ทำให้ “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART บริษัทแม่ของหุ้นในกลุ่มตระกูลเจ จะพยายามพูด หรือ ย้ำมาตลอดว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้ขึ้น

แม้แต่ทาง “ทริสเรทติ้ง” ก็ยังต้องปรับเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของ บมจ.เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (JMART) ให้ลงเป็นระดับ “ลบ” จากเดิมที่เคยอยู่ในระดับ “คงที่” ซึ่งนั่นก็หมายความว่า นักวิเคราะห์เองก็มองไม่ต่างไปจากนักลงทุนอย่างเจ๊เมาธ์ที่มอง หุ้นกลุ่มตัว เจ. อย่าง JMART JMT SINGER SGC รวมไปถึง J...เอาไว้มีสัญญาณดีๆ แล้วค่อยมาว่ากันนะคะ ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบค่ะ