OR ไม่ขายก็ไม่ขาดทุน

03 ต.ค. 2566 | 20:55 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ต.ค. 2566 | 00:21 น.

OR ไม่ขายก็ไม่ขาดทุน คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์

*** ในที่สุด บมจ.ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ ALL ก็ได้เดินทางมาถึงจุดที่ถูกเจ้าหนี้มีประกันรายหนึ่ง ยื่นฟ้องในคดีล้มละลายต่อศาลล้มละลายกลาง ในมูลหนี้เงินกู้เพียงแค่ 46,020,756.16 บาท ซึ่งแม้ว่าบริษัทได้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ล่วงหน้าให้แก่เจ้าหนี้จำนวน 12 ฉบับ และจดจำนองที่ดินโฉนดในจังหวัดภูเก็ต รวม 5 แปลง เพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้ดังกล่าว แต่เจ้าหนี้ก็ยังเดินหน้าฟ้อง เพราะไม่แน่ใจว่า ALL จะสามารถดำเนินการชำระหนี้ที่ว่านี้ได้จริง 

และถึงแม้ว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้กับเจ้าหนี้ แต่ศาลก็ได้นัดพิจารณาคดีที่ศาลล้มละลายกลาง ในวันที่ 16 ต.ค. 66 เวลา 9.00 น. และนอกจากการฟ้องล้มละลายที่ว่านี้ ก็ยังพบว่า ALL ยังคงมีปัญหาเรื่อง “ระเบิดเวลา” ที่ยังไม่ปลดชนวนเกี่ยวกับมูลหนี้อีก 2 รายการ คิดเป็นเงินจำนวน 1,178 ล้านบาท ซึ่งทาง ตลท. ได้ขอให้ชี้แจงข้อมูลในงบการเงินไตรมาสที่ 2/66 เนื่องจากผู้สอบบัญชี ไม่ได้ให้ข้อสรุปต่องบการเงินค้างอยู่อีกหนึ่งเรื่อง

ก็อย่างที่เจ๊เมาธ์เคยบอกไปว่า การที่ ALL เลือกที่จะหาเงินมาชำระ “หนี้หุ้นกู้” ในรอบแรกๆ ด้วยการขายสินทรัพย์ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลัก และเมื่อบริษัทขาดแหล่งรายได้ ...ท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นไปจากการ “เบี้ยวหนี้” และเมื่อเกิดการเบี้ยวหนี้ขึ้นมาจริงๆ ก็จะหนีไม่พ้นไปจากการที่จะถูก “ฟ้อง” ซึ่งยังไม่รู้ว่าในอนาคตจะถูกฟ้อง จากเจ้าหนี้รายอื่นในรูปแบบเดียวกันนี้อีกหรือไม่ 
 
เจ๊เมาธ์ยังคงย้ำคำเดิมว่า หุ้นแบบนี้ถ้าอยู่ห่างได้ ก็อยู่ให้ห่างนะคะ ของแบบนี้ไปยุ่ง หรือ ไปวุ่นวายด้วยมากๆ โอกาสที่จะเจ็บตัวก็มีมากตามไปด้วยนั่นเองค่ะ  
 

*** หลังจากที่ “วิษณุ เทพเจริญ” ได้ลาออก ก่อนที่บอร์ดของบริษัทก็ได้แต่งตั้งให้ “ณัฐพศิน เชฎฐ์อุดมลาภ” ก้าวขึ้นมาแทน ถือได้ว่าเป็นจุดสิ้นสุดยุคกลุ่มทุนเก่าของ บมจ. ณุศาศิริ หรือ NUSA ไปแล้ว ซึ่งเจ๊เมาธ์เคยบอกมาก่อนหน้านี้แล้วว่า NUSA ในความเป็นจริงแล้ว ก็คือ ร่างทรงของ WEH โดยมีกลุ่ม “กิตติอิสรานนท์” เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 
 
อย่าลืมว่า “ณัฐพศิน” เคยนั่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรรมการ และกรรมการบริหาร บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) ขณะเดียวกัน “ณัฐพศิน เชฎฐ์อุดมลาภ” คนนี้ ก็ยังคงดำรงตำแหน่งเป็น ประธานกรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กร กรรมการลงทุน และ กรรมการของ บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ DEMCO โดยในส่วนของ DEMCO ก็มีทาง NUSA เป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนที่สูงถึง 23.28%  
 
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็น NUSA หรือ DEMCO รวมไปถึง WEH ก็จะมีกลุ่ม “กิตติอิสรานนท์” ซึ่งนำโดย “ประเดช กิตติอิสรานนท์” รวบยอดเป็นผู้บัญชาการใหญ่นั่นเอง 
 
อย่างไรก็ตาม การใช้ NUSA เป็นแกนกลางเพื่อควบคุมทั้ง NUSA DEMCO และ WEH ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งล่าสุดการที่ NUSA พยายามจะซื้อหุ้น WEH เพิ่มอีก 26.65% จากเดิมที่มีอยู่จำนวน 7.12% จนถูก ตลท. ทักท้วงว่าเป็นการทำ Backdoor Listing จนต้องตั้งโต๊ะเพื่อทำ Tender Offer เป็นเหตุให้ราคาหุ้นของ NUSA ร่วงลงมาหนัก เพราะนักลงทุนมองไม่ออกว่า NUSA จะไปหาเงินมาจากที่ไหน นอกจากการเพิ่มทุน ซึ่งหากจะมีการเพิ่มทุนขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่แปลกที่ราคาหุ้นของ NUSA จะร่วงลงมาหนักอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เรื่องมันก็มีเท่านี้เองเจ้าค่ะ 
 
*** เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน...หุ้นดีหลายตัวที่ใครๆ ต่างก็มองว่าดี ก็ต้องเปลี่ยนสถานะไปเช่นกัน ล่าสุดราคาหุ้นของ บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก หรือ OR ได้ปรับราคาลงไปต่ำกว่าราคาจองซื้อ (18.00 บาท) เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้าตลาดมาได้ 2 ปีกว่าๆ (11 ก.พ. 64) และเป็นการปรับราคาลงมาต่อเนื่อง 2 ปีกว่าๆ ทั้งที่ผลการดำเนินงานของบริษัทก็ไม่ได้ขาดทุนแต่อย่างใด
 
คราวนี้เรามาวิเคราะห์กันถึงสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นของ OR มีแต่ถอยหลังลงมาบ้างนะคะ
 
อย่างแรก น่าจะเป็นเพราะความคาดหวังจากการที่ OR คือ หุ้นอีกหนึ่งตัวที่มีนักลงทุนสถาบันเข้ามาถือหุ้นเป็นจำนวนมาก ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยเอง ก็ต้องการหุ้นตัวนี้มาก จนทำให้ถึงกับต้องมีการสุ่มรายชื่อ ของผู้ที่จะได้สิทธิ์ในการจองซื้อ จนทำให้ราคาหุ้นของ OR ถูกไล่ราคาขึ้นไปสูงตั้งแต่วันแรกที่เข้าตลาด
 
อย่างที่สอง เป็นเพราะตราสินค้าของ OR ที่มีอยู่ทั้งในชื่อของปั๊มน้ำมัน ปตท. ร้านกาแฟอเมซอน ระบบท่อส่ง รวมไปถึงสินค้าอื่นๆ ของ OR เป็นที่รับรู้กันว่า ขายได้ ด้วยชื่อเดิม ที่มีเพียงแต่การขายได้ที่ว่านี้จะมีกำไรแค่ไหนก็เป็นอีกเรื่องที่แยกกันไป 
 
อย่างที่สาม เป็นปัญหาของรายได้และกำไรของบริษัทโดยเฉพาะในส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิงที่แม้ว่าจะสร้างยอดขายได้สูงมาก แต่กำไรที่ได้กลับไม่ได้มากอย่างที่คิด และยิ่งล่าสุดการที่ภาครัฐได้เข้ามาแทรกแซงราคาน้ำมันค้าปลีกเชื้อเพลิงอีกครั้ง ก็ทำให้กำไรของ OR ไม่เป็นไปอย่างที่คิด จะมีบ้างก็เป็นสินค้าในกลุ่ม Non-oil ที่ยังพอมีกำไรดี แต่กำไรดีๆ ที่ว่านี้ก็ถูกนำมาอุดรอยรั่วของน้ำมันเชื้อเพลิง จนกลายเป็นว่าบริษัทมีรายได้มากขึ้นทุกปี แต่กำไรที่มีกลับยังอยู่ที่เดิม โดยที่ไม่ยอมปรับเพิ่มขึ้นตามรายได้ 
 
อย่างไรก็ตาม เจ๊เมาธ์ยังคงเชื่อว่า OR เป็นหุ้นที่ดี ราคาตอนนี้ถือว่าดีมาก ดีจนถึงกับคิดไปว่าถ้าใครที่ยังไม่มี ก็ควรจะมีติดเอาไว้ ส่วนใครที่มีอยู่แล้วถัวได้ก็ถัวนะคะ ถือซะว่า...ไม่ขายก็ไม่ขาดทุน เจ้าค่ะ

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,928 วันที่ 5 - 7 ตุลาคม พ.ศ. 2566