เพชรยอดพระธาตุ

23 ก.ค. 2565 | 01:30 น.

คอลัมน์ Cat out of the box โดย พีรภัทร์ เกียรติภิญโญ

เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศประเทศโลกเริ่มเปิดพรมแดนให้ไปมาหาสู่กันได้ ก็จะพาท่านไปเที่ยวชมของสวยของดีที่ประเทศใกล้ๆ_เพื่อนบ้านกันเสียก่อนที่กรุงย่างกุ้ง นครหลวงในทางปฏิบัติของพม่า 
 

ก็เปนที่รู้กันว่า landmark กลางเมืองของเขาคือเนินเขามหึมาที่ว่าเปนเจดีย์ทองคำประดิษฐานพระเกศาธาตุสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดั้นเมฆเด่นสง่าขึ้นมานามว่า ชเวดากองชเว ก็คือ ทอง ดากอง ก็คือ ตะโก้ง ชื่อเก่าของย่างกุ้งที่เสียงเพี้ยนมาจากหยั่นโก้ง ตามว่าแล้วแต่ลิ้นคนออกเสียงเปนชาติพันธุ์ไหนในหมู่ความหลากหลายแห่งสหภาพเมียนม่าร์

อันว่าพระธาตุเจดีย์ หรือที่บรรจุพระบรมอัฐิธาตุของพระบรมศาสดานี้แต่เดิมมานับถือกันว่าเปนของคู่บารมีของกษัตริยาธิราชอย่างว่าธรรมิกราชา 
 

ในทางรัฐกิจรัฐการแล้วรัฐใดซึ่งเปนรัฐอธิปไตย independent state ที่มีศาสนาเปนส่วนหนึ่งของรัฐ (secular state) กษัตริย์ผู้นำก็จะให้มีเจดีย์พระธาตุไว้เปนของกราบไหว้สักการะ รัฐใดยังอยู่ในความ ‘คุ้มกัน’ ของเขาแล้ว จะหามีเจดีย์พระธาตุยิ่งใหญ่ปานกันได้ไม่ มันจะเปนการแข่งบารมีกับองค์รัฐาธิปัตย์เขา

อนึ่งปรากฏการณ์เกี่ยวแก่พระธาตุนี้ ปวงปุถุชนทั่วไปก็มักจะเห็นแยกเปนสองทาง ทางหนึ่งก็ศรัทธาและนับถือว่าข้างในคือพระบรมสารีริกธาตุ เปนกระดูกของพระพุทธเจ้าหรือ เปนพระอรหันตธาตุ กระดูกของพระอรหันต์ แต่ว่าเปนที่รู้กันว่ามิใช่กระดูกธรรมดา เปนแต่กระดูกคนที่สุกใสพร่างพราวขึ้นอย่างเพชร อันเกิดจากท่านที่ใช้ดวงจิตบริสุทธิ์จากการประพฤติปฏิบัติธรรม ฟอกซักธาตุขันธ์ของท่านให้สะอาดบริสุทธิเอง 


ในทางวิทยาศาสตร์กายภาพก็ไม่น่าเเปลกอะไรเพราะเพชรก็เปนสารประกอบไฮโดรคาร์บอน กระดูกก็เปนสารประกอบไฮโดรคาร์บอนเหมือนกัน กระดูกกลายเปนเพชรได้ใช้เวลาแสนๆปี ผ่านแรงกดดันและสภาวะต่างๆหลายประการ เวลานี้อเมริกามีวิธีเอากระดูกพ่อแม่ที่รักไปอัดด้วยเทคโนโลนีจำเพาะกลายเปนเพชรใสขึ้น อยากเอาติดตัวไปก็เพียงทำเรือนเเหวนใส่ ไม่ต้องไปลอยทิ้งน้ำหรือหาโกศใส่ ข้างฝ่ายพระท่านก็มีเทคโนโลยีทางจิตในเรื่องนี้เหมือนกัน_ย่นเวลาการแปรสภาพเปนเพชร อีกทางหนึ่งก็ว่า ใช่ไม่ใช่ต้องพิสูจน์เสียให้รู้แน่ ว่าดีเด่อย่างไร ถ้าไม่แน่ก็ไม่นับถือ ฉะนี้ 
 

ประเด็นดังกล่าวนี้ก็มีผู้กล่าวถึงและตั้งคำถามที่และถามเอากับพระธาตุในเมืองไทย วันหนึ่งที่ไชยา มีคนถามว่าพระธาตุข้างในนั่นแท้ไหมรู้อย่างไรว่าแท้ ตานี้ฝ่ายกรมศิลป์มาบรรยายพิเศษก็บอกว่าไม่รู้เปนเรื่องความเชื่อ ฝ่ายเจ้ากูพระสงฆ์มารับผ้าห่มพระธาตุก็นิ่งใบ้อยู่ ไม่อธิบาย 
 

จึงได้เรียนเชิญหมู่ท่านผู้ข้องทั้งหลายล้อมวงเข้าแล้วเล่าให้ฟังว่า อีคำถามพรรค์นี้ไม่ได้เพิ่งมามีเอาวันนี้หรอก มีมานาน แต่ปีมะโว้แล้ว คนโบราณเขาก็ไม่ได้โง่ เขาก็ตั้งคำถามเหมือนกัน


 

เรื่องนี้ผู้ใหญ่ในอดีตเปนผู้อธิบายให้ฟังว่า วิธีพิสูจน์นั้น ท่านให้ตั้งเครื่องบัดพลีบอกกล่าวขอขมา และเชิญพระธาตุที่สงสัยลงลอยในขันเล็กๆบรรจุน้ำ พระธาตุที่แท้ท่านว่ามีความถ่วงจำเพาะน้อยกว่าน้ำจะลอยน้ำได้เสมอ และลักษณะการลอยไม่ใช่ตุ๊มๆต่อมๆ เปนการลอยอย่างมีกำลังแรงตึงผิวเหยียดน้ำออกจากองค์พระธาตุ สามารถสังเกตเห็นได้ 


มาถึงขั้นนี้แล้วถือว่าได้สบประมาทอัฐิธาตุของท่านผู้สำเร็จมาพอสมควร ถ้าว่าอยากจะให้มันสุดๆไปก็จงตั้งจิตอธิษฐานขอให้ท่านเคลื่อนที่วนรอบขันให้เห็นเปนบุญตาเมื่อท่านค่อยเคลื่อนที่วนบนผิวน้ำแล้วก็ให้กราบขอขมาเสียค่าที่ล่วงเกินไปสงสัยท่าน ซึ่งก็ไม่มีเครื่องประกันว่าท่านจะงดโทษให้ เพราะ“ท่าน” ที่จะให้คุณโทษนี้มิใช่ตัวเจ้าของธาตุเองซึ่งเข้าสู่นิพพานภาวะไปแล้วทิ้งพระธาตุเปนเครื่องยืนยันความมีอยู่จริงของพระสัทธรรมให้เราท่านศาสนิกปฏิบัติตามเพื่อสำเร็จมรรคผลต่อไป 


หากแต่เปนเทพยดาผู้รักษาพระธาตุนั้นต่างหากจะเปนผู้กระทำหน้าที่อดโทษงดคุณแก่ผู้อยู่ว่างๆแล้วไม่มีไรทำมาออกแรงท้าทาย อย่างไรก็ดีความศักดิสิทธิ์ของพระธาตุนั้นไม่มีสิ่งไรสำคัญยิ่งไปกว่าความจริงที่ว่าศักดิ์สิทธิ์นั้นคืออะไร ก็ต้องเฉลยเปนภาษาอังกฤษว่า ศักดิ์สิทธินั้นคือ success นั่นแล 


อะไรๆที่ศักดิสิทธิ์ก็เนื่องมาแต่ท่าน/แต่สิ่งนั้นๆได้ succeed จน success ผู้คนซึ่งบรรลุถึงความรู้แจ้งได้พากเพียรกระทำการเพื่อรู้แจ้งนั้นมาโดยยากและต่อเนื่องจนสำเร็จsuccess เราจึงนับถือว่าท่านนั้นๆของๆท่านนั้นๆศักดิ์สิทธิ นัยยะนี้พระเดชพระคุณพระธรรมโพธิวิเทศได้ให้ข้อคิดไว้คราวตั้งคำถามในใจเมื่อไปเขาคิชกูฏ (หัวแร้ง) ที่อินเดีย
 

ความศักดิสิทธิ์ของพระธาตุจึงเปนด้วยที่ท่านโดยตัวเองเปนหลักฐานแสดงความสำเร็จ_success ของการปฏิบัติธรรมจนหลุดพ้นได้ตามนัยทางศาสนา


 

เจดีย์พระธาตุนั้นโบราณเขาว่าสร้างแล้วได้บุญ เพราะใช้เปนที่เก็บหลักฐานว่าผู้ใดสามารถปฏิบัติตามพระสัทธรรมได้ก็จะสมบูรณ์ดัวยบริสุทธิภาวะ มีกระดูกแปรเปนเพชรได้เหมือนอย่างที่เก็บไว้เปนหลักฐานนี้


ส่วนการสละทรัพย์บูชาพระธาตุนั้นก็ได้บุญมาก ด้วยว่าได้สละของพอกพูนโลภโมโทสันออกจากตัวหนึ่งล่ะ ได้ทำปริศนาธรรมให้คนไม่เข้าใจได้ฉงนหนึ่งล่ะ ว่าคนๆหนึ่งบ้าบออย่างไรเอาของมีค่าไปแขวนไว้ตามเจดีย์ไม่เอาไปขายเปนเงินไว้บำเรอความสุขแก่ตน
 

นอกนี้แล้วกว่าเขา/เธอจะได้ทราบความจริงว่าพระสัทธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเปนทรัพย์ถาวร เปนทรัพย์มีค่ายิ่ง ยิ่งกว่าแก้วแหวนเงินทองติดเจดีย์ถวาย ด้วยตามติดไปพัฒนาดวงใจดวงจิตได้ แม้ว่าหมดกายหยาบที่ยังอยู่ด้วยโภคทรัพย์หยาบต้องบำเรอนั้น
 

ดูอย่างรูปเพชรยอดพระธาตุเจดีย์ชเวดากองนี้ประไร นอกจากตัวเพชรหน่าทั่งใหญ่จะเท่าหน้าเด็กเอาแล้ว ศาสนิกชนพม่าเอาเพชรพลอยทองทาทองสร้อยหลายสีหลายวรรณะประโคมโถมแต่งเข้าไว้ ทั้งถนิมพิมพาภรณ์สวยงามอลังการเปนหนักหนา ชาวพนักงานเขาเอารูปถ่ายทางอาการมาจัดนิทรรศการไว้ให้ในลานพระเจดีย์ทิศเหนือ เพื่อคนมาไหว้สักการะแล้วได้ทราบความเปนมาเปนไป
 

ในกรณีของพระบรมกษัตราธิราชนั้น ฝ่ายพม่า ลังกา มอญ ล้วนให้ความสำคัญแก่พระบรมสารีริกธาตุในฐานที่เปนสิ่งแสดงถึงบุญญาธิการของกองกษัตริย์ฝ่ายพุทธศาสนิก เล่ากันว่าพระเจ้าบุเรงเนองเคยแต่งสำเภาบรรทุกทองคำไปไถ่เอาพระบรมสารีริกธาตุจากมือคริสตชนถึงกรุงลังกาก็เคย
 

ฝ่ายคริสต์เรียกของชนิดอย่างพระธาตุว่า relics ซึ่งอาจเปนอย่างอื่นที่สัมผัสพระวรกายพระคริสต์ผู้บริสุทธิ์มาก็ได้ ไม่จำกัดว่าน้องเปนกระดูก/เลือดของท่าน เช่น ผ้าห่ม ผ้าห่อ เปนต้น
 

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯรัชกาลที่ 4 ยามจะทรงพิสูจน์พระธาตุนั้น ทรงใช้วิธีอธิษฐานบารมี โดยเฉพาะกับองค์พระปฐมเจดีย์ซึ่งทรงพระราชศรัทธามาก บางคราวทรงตั้งเครื่องบัดพลีและกระทำการเสี่ยงสัตยาธิษฐานขอให้พระธาตุที่ในองค์พระปฐมเจดีย์ได้ปรากฏแก่พระองค์ ทรงนำบาตรพระไปตั้งรอไว้ ช้านานก็มิได้เกิดปรากฏการณ์พระธาตุ ‘เสด็จ’ มาสู่พระองค์ท่านตามคำอธิษฐาน 


จนเมื่อเสด็จกลับพระนครแล้ว วันหนึ่ง ที่ในหอพระนาก ใกล้พระพุทธรัตนสถาน เกิดเอะอะกันขึ้นว่าพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ตั้งไว้ใกล้ที่พระสัมพุทธพรรณี จู่ๆแสดงอาการเหมือนไฟไหม้คือองค์พระโลหะนั้นแดงฉานขึ้นเหมือนถูกไฟ super Heat ลนเข้า แต่ไม่เกิดประกายเพลิงออกมา เมื่อเหตุสงบลงเเล้วสำรวจดูในเศียรพระนั้นมีพระธาตุเสด็จมา 2 องค์
 

ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงดำรงพระอิสริยยศที่สยามมกุฎราชกุมาร ยามดึกทรงพระอักษรอยู่ที่พระที่นั่งองค์หนึ่งในเขตพระราชวังสนามจันทร์ ทอดพระเนตรออกไปช่องพระแกลเห็นดวงไฟสุกเย็นขนาดเท่าผลส้มโอ กำลังเคลื่อนที่รอบปล้องไฉนขององค์พระปฐมเจดีย์โดยมีการเคลื่อนวนขวากระทำประทักษิณทักษินาวรรต ทรงนับได้ถ้วนสามรอบ 


เกิดสนเท่ห์ในพระราชหฤทัยยิ่งนัก มีพระราชดำริว่าชะรอยจะเปนด้วยมีสารฟอสฟอรัสจับอยู่แถบปล้องไฉนพระเจดีย์ จึงเรืองแสงขึ้นยามอากาศชื้นฝนตก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ขุนนางไทยและฝรั่งไปร่วมกันตรวจหาฟอสฟอรัส แต่ไม่พบได้เล่าสู่ท่านฟังไว้แล้วในคอลัมน์นี้ตอนฟาแบร์เฌ่ 
 

อย่างไรก็ดีกรณีของพระธาตุเจดีย์ต่างๆแต่โบราณนั้น ไม่จำเปนต้องมีของไปอามิสเพื่อจะบูชาท่าน หากเปนเช่นนั้นแล้วพระพุทธศานาก็จะไม่ใช่เปนของกลางที่สัมผัสและเข้าถึงได้ระหว่างชนทุกชั้นไม่ว่าจะยากดีมีจน อันเปนการผิดหลักการของพระศาสนาที่พระพุทธองค์ทรงกำจัดชนชั้นวรรณะออกไปให้แล้ว
 

โบราณได้รจนาเอาไว้ว่าเพียงกาย_วายา_ใจก็สามารถแสดงความเคารพโดยกำหนดอธิษฐานเอาส่วนต่างๆเปนเครื่องบูชาได้ดังนี้
 

มือข้าฯสิบนิ้วยกขึ้นหว่างคิ้ว ต่างธูปเทียนทองดวงพักตร์ โสภา ต่างมาลากรอง ดวงเนตรทั้งสอง ต่างประทีปถวายผมเผ้าเกล้าเกศต่างประทุมเมศบัว ทองพรรณรายวาจาเพราะพร้อง  ต่างละออง จันทร์ฉายดวงจิตขอถวาย  ต่างรสสุคนธาฯ
 

ดอกไม้ธูปเทียนที่ซื้อหาเข้าไปบูชาพระธาตุนั้นจึงเปนของเบื้องต้นเสียเปล่า หากไม่น้อมตัวน้อมใจเข้าสำรวมกาย_วาจา_ใจ


เเละนำข้อสำรวมเช่นว่านี้ไปปฏิบัติ อันเข้าขั้นปฏิบัติบูชา เกินขึ้นกว่าขั้นอามิสบูชาที่บูชาด้วยสิ่งของ อันน่าจะทำให้พระศาสดาทรงพลอยยินดีที่ศาสนิกมีกำลังก้าวขึ้นชั้นคำสอนที่สูงขึ้นและเข้าใกล้พระสัทธรรมของพระพุทธองค์ได้มากกว่าเดิม
 

นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 หน้า 18 ปี ฉบับที่ 3,803 วันที่ 24 - 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2565