จากฐานันดรที่สี่สู่เจ้าของเหมืองหยก (25)

26 ธ.ค. 2564 | 22:00 น.

คอลัมน์ เมียงมอง เมียนมา โดย กริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

     วันนี้เรามาคุยกันต่อถึงเรื่องของคุณสุวรรณีในตอนสุดท้ายเลยนะครับ หลังจากที่การเรียนรู้เรื่องการขึ้นเรือนแหวน และเรื่องของอัญมณีในอีกหลากหลายชนิด หรืออีกนัยยหนึ่งคือหลังจากที่เธอได้กระโจนเข้าสู่วงการอัญมณีเครื่องประดับอย่างเต็มตัว ซึ่งก็ทำให้เธอได้เรียนรู้เรื่องราวของแหวนนพเก้า หรือแหวนนพรัตน์นั่นเองครับ เธอเล่าติดตลกว่า สิ่งที่จะต้องเรียนรู้คือการผูกดวงของผู้ที่จะสั่งทำแหวนนพเก้า ซึ่งทำให้เธอต้องไปเรียนรู้หลักโหราศาสตร์โดยไม่ได้ตั้งใจ และหลังจากที่ได้เริ่มทำไปสัระยะหนึ่ง ลูกค้าปากต่อปากก็เล่าลือกันต่อๆว่า เธอมีความสามารถในการผูกดวง จึงมีคนมาให้เธอดูดวง ทำให้เธอไม่ค่อยมีเวลาว่างเลย เพราะมีคนมาขอให้เธอดูดวงเป็นประจำ ทั้งๆที่เธอไม่ได้อยากจะเป็นหมอดูเลย ที่ทำลงไปเพราะเป็นเรื่องของธุรกิจ ที่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้บ้างนิดหน่อย จนกระทั้งเธอจะกลายเป็นเจ้าแม่ผูกดวงไปเสียแล้ว เธอบอกเล่าไปหัวเราะไปว่า ขาดเพียงผ้าเจ็ดสีมาผูกตัวเธอเท่านั้นแหละ หากมีก็คงมีคนเอาแป้งมาขูดถูหาเลขที่ตัวเธอไปแล้วแน่ๆเลย นี่คืออุปนิสัยของคนไทยบางคน ที่นิยมชมชอบเรื่องไสยศาสตร์นั่นเองครับ

     ต่อมาก็เริ่มมีคนมาขอให้เธอนำเอาอัญมณีที่เธอเสนอขายให้ ขึ้นเป็นเรือนแหวน บางคนก็ขอให้ทำจี้สร้อยคอ บางคนก็ถามหาสร้อยข้อมือ ซึ่งเธอเริ่มที่จะมองออกว่า สิ่งที่ผู้มีพระคุณเคยพูดและบอกให้เธอไปเรียนรู้นั้น คือหนทางที่จะทำกำไรได้อย่างแท้จริง ยิ่งทำให้เธอมั่นใจมากขึ้นที่จะต่อยอดธุรกิจฯ จากที่เคยขายแต่ก้อนหินหยก ที่เป็นหินดิบๆเท่านั้น ในขณะที่เธอเองก็ได้เริ่มหันกลับไปมองอัญมณี ที่เธอเคยทำการค้าในอดีต เช่น พลอยทับทิม อำพันและอัญมณีอื่นๆอีกหลายชนิด ก็ถูกนำมาขึ้นรูปให้เป็นเครื่องประดับมากยิ่งขึ้น
 

     ต่อมาเมื่อเริ่มเห็นช่องทาง เธอจึงได้เดินทางกลับไปที่รัฐกระฉิ่น ประเทศเมียนมาอีกรอบ ครั้งนี้เธอพกเอาความมั่นใจที่มีอยู่อย่างเปี่ยมล้น เมื่อเดินทางไปถึงเหมืองหยก เธอก็ได้เริ่มเรียกประชุมกับพนักงานและคุณพ่อของสามี จากนั้นก็รวบรวมเอาอัญมณีมาจัดเป็นหมวดหมู่ และดำเนินการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆขึ้นมา แล้วจึงส่งรูปภาพมาให้ท่านผู้มีพระคุณดู ทางด้านของท่านผู้มีพระคุณ เมื่อเห็นผลงานด้วยความเชื่อมั่น จึงได้เริ่มติดต่อญาติทางฝั่งภรรยาของท่าน ที่อาศัยอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ให้ทดลองสั่งแหวนและอัญมณีเข้าไปทดลองตลาดในอังกฤษ พอลองทำเช่นนี้ได้ไม่นาน ทางฝั่งของลอนดอนก็เริ่มไว้ใจเธอ เพราะมีความเชื่อมั่นว่าเธอเป็นคนที่ตรงไปตรงมา จึงได้ขยายตลาดมากขึ้นนั่นเอง นี่คือที่มาที่ไปในการเริ่มต้นชีวิตทำการค้ากับทางประเทศอังกฤษ ที่เป็นการเปิดตลาดแบบฟลุ๊คๆ ซึ่งออร์เดอร์ก็ไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสายครับ

     ผมถามเธอว่าจากเริ่มต้นจนถึงเริ่มมีการเปิดร้าน ใช้เวลานานเท่าไหร่? เธอบอกว่าไม่นานจนเกินไป ใช้เวลาไม่เกินสามปีเท่านั้น ในด้านการถือหุ้นในร้านค้า เธอบอกว่าไม่ได้ไปถือหุ้นด้วย เธอมีหน้าที่เพียงแต่ส่งสินค้าให้เท่านั้น แต่เธอก็ได้บอกราคาต้นทุนไปให้ทางลอนดอน พอทางโน้นขายได้กำไรมาเท่าไหร่ ก็จะแบ่งกำไรออกเป็นเปอร์เซนต์มาให้เธอ ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้เกี่ยงงอนเรื่องกำไรมากหรือน้อย เพราะวันนี้เธอมีความสำเร็จได้ ก็จากการผลักดันของท่านผู้มีพระคุณ จึงทำให้เธอได้มีวันนี้ เธอจึงไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย แล้วแต่ท่านจะปันส่วนให้ อย่างไรก็ตาม มีอยู่ปีหนึ่ง ท่านแบ่งกำไรมาให้เธอ เป็นเลขแปดหลักเลยทีเดียว ซึ่งสำหรับเธอแล้ว เธอคิดว่ามันเป็นผลตอบแทนที่งดงามเกินความคาดหวังของเธอเลยด้วยซ้ำไปครับ
 

     ชีวิตมีขึ้นมีลง การค้าก็เช่นกันครับ จะต้องมีทั้งเริ่มต้น ฝ่าฟัน จุดสุดยอดของความสำเร็จ และจุดตกต่ำ ก็อย่าได้คาดหวังหรือคิดไปเอง ว่านั่นคือความสำเร็จสูงสุดแล้วหรือล้มเหลว ทุกอย่างคงจะไม่แน่เสมอไป หลังจากที่เธอสนุกสนานกับการกอบโกยกำไรได้ไม่นาน ในเดือนมกราคมปี 2563 เธอก็ได้เดินทางเข้ามาประเทศไทยอีกครั้ง เพื่อมาจัดการเรื่องการเรียนของลูกสาวสุดที่รัก เพราะน้องกำลังจะเริ่มเข้าสู่การสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย แต่ใครจะไปคาดคิดว่า สถานการณ์โรคร้ายโควิด-19 จะเข้ามาสู่สังคมโลก โดยใครๆก็ไม่ได้ทันที่จะเตรียมตัว ส่วนตัวเธอเองนั้น แม้แต่เงินทองเกือบทั้งหมด เธอก็ได้ทุ่มลงไปที่ประเทศบ้านเกิดของสามีเธอเกือบทั้งหมด อีกทั้งเงินส่วนใหญ่จะฝากไว้ที่ธนาคารในประเทศเมียนมา เพื่อหวังเพียงดอกผลจากเงินฝาก ที่มีผลตอบแทนสูงมากๆ ก็เริ่มประสบปัญหาเช่นกัน เหมืองที่เธอได้รับสัมปทานมา ก็ถูกทางการเมียนมาเรียกเอาคืนไป แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเธอเองยังโชคดี ที่คุณพ่อของสามีได้ช่วยเก็บรักษาก้อนหินหยก หยกสำเร็จรูป อำพันชั้นดี และอัญมณีอื่นๆอีกประมาณสามตัน โดยนำไปฝังไว้ในสถานที่อันมิดชิด เพื่อรอวันที่สถานการณ์จะดีขึ้น เพื่อนำมาให้เธอได้ดำเนินธุรกิจต่อไป โชคดีอีกเรื่องคือ ตัวเธอเองและสามีได้กลับมาที่เมืองไทยแล้ว แม้จะไม่สามารถเดินทางกลับเข้าไปอีกในช่วงนี้ แต่ชีวิตของเธอที่เป็นอยู่ในวันนี้ เธอและสามีก็มีความสุขกับการใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาวคนเดียวของเธอครับ
 

     ในช่วงที่กำลังเกิดการปรฎิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นช่วงที่กำลังวุ่นวายอยู่กับปัญหาโรคระบาดโควิด-19 แม้จะเป็นช่วงที่เธอยากลำบากมาก เพราะเงินทองที่ติดตัวมากับเธอและเงินที่ฝากไว้ที่ธนาคารในเมืองไทย ก็มีไม่มากมายนัก แต่ก็มีคนได้แนะนำให้มาปรึกษากับอาจารย์กริช ทำให้เธอได้รู้จักกับผม และผมก็จึงแนะนำให้เธอในการโอนเงินออกมาได้บ้างเป็นบางส่วน ทำให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้น อีกสิ่งหนึ่งที่พอจะทำให้เกิดความสุขในจิตใจเธอและสามี คือบุตรสาวของเธอที่มุ่งมั่นที่จะศึกษาในคณะแพทย์ศาสตร์ เพื่อนำเอาความรู้ทางด้านการแพทย์นี้ กลับมาใช้ตอบแทนสังคม เพราะบุตรสาวของเธอได้ตั้งปณิธานไว้ว่า หากประสบผลสำเร็จการศึกษาทางด้านนี้ เธอขอกลับไปใช้ชีวิตบนภูเขา เพื่อรักษาคนขาดโอกาสทางด้านบริการสาธารณสุข นี่คือสิ่งที่ทำให้คุณสุวรรณีและสามีมีความสุขในวันนี้ครับ
 

     ก่อนจะจบเรื่องประวัติของผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ผันตัวจากผู้จัดรายการทีวี หันไปใช้ชีวิตอยู่กับสามีชาวเมียนมา จนกระทั้งมีฐานะมั่นคงในวันนี้ของคุณสุวรรณี เธออยากจะฝากถึงคนทั่วไปว่า ชีวิตของเธอนั้นเป็นชีวิตที่ไม่ได้ผ่านมาอย่างง่ายๆ ทุกคนอย่าได้คิดที่จะเรียนแบบ และอยากจะบอกว่า คนเราแม้จะใส่อัญมณีสุดล้ำค่าสักเพียงใด ก็ต้องมีจิตใจเมตตาปราณีต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์โลก ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่เสมอ ตัวเธอเองก็มักจะแบ่งปันเงินบางส่วน บริจาคให้ช้างในประเทศเมียนมาเป็นประจำ หรือเมื่อมีแล้วควรแบ่งปันให้กับคนที่ยังยากลำบากกว่าเราบ้าง ชีวิตจึงจะมีแต่ควาสุขความเจริญครับ