รากเหง้าสังคมที่ปฏิเสธการพัฒนา

04 ก.ค. 2566 | 22:30 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ก.ค. 2566 | 23:31 น.

คอลัมน์ เศรษฐศาสตร์ นอกขนบ รากเหง้าสังคมที่ปฏิเสธการพัฒนา โดย สุวิทย์ สรรพวิทยศิริ “มูลนิธิ สวค.”

หากพิจารณาตามสามัญสำนึกย่อมไม่สมเหตุสมผล หากสังคมใดจะปฏิเสธการพัฒนา ปฏิเสธความก้าวหน้า ด้วยจากการพัฒนานำมาซึ่งการยกระดับคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจรุดหน้า โอกาสชีวิตของพลเมืองเพิ่มขึ้น รวมถึงเทคโนโลยีก้าวหน้า ทว่ายังบางสังคมบางซอกหลืบประชาคมโลกที่ปรากฏลักษณะการคล้ายปฏิเสธ ไม่ไยดีต่อการพัฒนา 

บทความนี้มุ่งสำรวจสาเหตุที่ซ่อนอยู่ในลักษณะการนี้ ไม่ว่าจากรากฐานวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจอันเป็นปัจจัยเหนี่ยวรั้งเส้นทางปัจจุบันในสังคมเหล่านั้น
 

บริบทประวัติศาสตร์และปัจจัยวัฒนธรรม

รากฐานสังคมที่ปฏิเสธการพัฒนา ประกอบขึ้นจากประวัติศาสตร์และปัจจัยวัฒนธรรมเป็นสำคัญ บางสังคม ประเพณีและความเชื่อด้านวัฒนธรรมขัดแย้งแนวคิดขัดแย้งค่านิยมสมัยใหม่ กลายเป็นวาทกรรม (discourse) แวดล้อมหล่อหลอมระดับปัจเจกจนถึงระดับสังคมให้ต้านทานการเปลี่ยนแปลงต่อต้านการพัฒนาได้ ประเพณีเหล่านั้นยึดโยงร้อยรัดสถาปนาเป็นอัตลักษณ์สังคม ฉะนั้น การเปลี่ยนแปลงใดก็ตามที่มาจากปัจจัยภายนอก ที่เสนอจากภายนอกมักถูกจับตาเป็นภัยคุกคามต่ออัตลักษณ์สังคม

ปัจจัยทางเศรษฐกิจ

โครงสร้างเศรษฐกิจของสังคมนั้นปัจจัยสำคัญส่งเสริมการพัฒนา เศรษฐกิจที่ยังพึ่งพาอุตสาหกรรมดั้งเดิมหรือเน้นพึ่งพาประเพณี มีแนวโน้มต่อต้านการเปลี่ยนแปลง จากความกลัวว่าเสถียรภาพเศรษฐกิจเดิมจะถูกทำลาย ทำนองเดียวกับสังคมที่เศรษฐกิจเหลื่อมล้ำสูง คณะที่กุมอำนาจย่อมต่อต้านการพัฒนามิให้ความมั่งคั่งใต้ดุลเดิมถูกเฉลี่ยออกไป
 

อาการตระหนกว่าวัฒนธรรมสั่นคลอน

อาการตระหนกว่าวัฒนธรรมสั่นคลอน สะเทือนอัตลักษณ์เป็นอีกรากฐานสำคัญที่ส่งผลให้เกิดแรงต้านการพัฒนา ทั้งที่การพัฒนาด้วยความเร็วสามารถนำคุณภาพมาสู่วิถีชีวิตและความจำเริญแก่วัฒนธรรมชุมชน ส่งเสริมแนวทางอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมชุมชน กระนั้นบางสังคมก็เลือกปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

โครงสร้างการเมืองการปกครอง

การเมืองนับว่ามีบทบาทหลักในปรากฏการณ์นี้ บางระบบการเมืองปฏิเสธการพัฒนาเพื่อพิทักษ์อำนาจ ทุกองคาพยพมีพันธกิจหลักยับยั้งการพัฒนา มีกลไกบริหารที่สามารถควบคุมประชากร ให้ประชากรตกสถานะพึ่งพา ร่วมด้วยกับกลไกจำกัดการเข้าถึงข้อมูล พบสังคมที่ระดับเสรีภาพการเมืองต่ำ ผลลัพธ์กลไกต่อต้านการพัฒนาย่อมผลักดันประโยชน์จากสถานการณ์ปัจจุบันให้ไหลย้อนสู่ผู้นำการเมืองเอง

การศึกษาและการเข้าถึงข้อมูล

ท้ายที่สุดระดับการศึกษา คุณภาพการศึกษารวมทั้งความสามารถเข้าถึงข้อมูลในสังคมนั้น ทรงพลังอย่างยิ่งต่อแรงปรารถนาพัฒนา การศึกษาคือกลไกกระตุ้นทักษะคิดด้วยวิจารณญาณ ทักษะขยายมุมมอง ทั้งส่งเสริมปัจเจกประจักษ์ประโยชน์จากการพัฒนา เมื่อปัจเจกถูกจำกัดคุณภาพการศึกษาประกอบกับข้อมูลถูกควบคุมหรือทำลาย ปัจเจกย่อมความเข้าใจ ไร้ความปรารถนาแสวงหาการพัฒนา

บทส่งท้าย

เมื่อเข้าใจรากฐานสังคมที่ปฏิเสธการพัฒนาว่าเป็นปัจจัยสำคัญเพื่อปรับแผนกลยุทธวิธีพัฒนาให้สมสมัย ควรค่าประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ ตลอดจนการเมืองในสังคมนั้น การเปลี่ยนแปลงจึงไม่อาจผลักดันอย่างง่ายดาย ย่อมประสบแรงต้านทาน ยิ่งเมื่อมันมาในรูปการข่มขู่ ในรูปค่านิยมหรือคุณค่าชีวิตที่เขายึดมั่น ทางสลายความกลัวย่อมต้องอาศัยความเข้าใจ เห็นใจและวิธีสนทนาที่นับถือกันและกัน จึงสามารถผ่อนคลายให้สังคมตระหนักได้ว่าการพัฒนาไม่ใช่ภัยคุกคาม การพัฒนาเป็นมรรควิธียกระดับคุณภาพชีวิตทั้งสังคม