ปรับกลยุทธ์ออกกองทุน บลจ.จัดพอร์ตผสมรับมือ‘หุ้นผันผวน-ดอกเบี้ยต่ำ’

04 พ.ค. 2559 | 02:00 น.
กองทุนรวมปรับกลยุทธ์ออกโปรดักต์ไตรมาส 2 รับ 2 ปัจจัยลบ ตลาดหุ้นผันผวน ดอกเบี้ยต่ำ บลจ.ธนชาตฯ ชี้หุ้นไทยไม่ขี้เหร่ ให้ผลตอบแทนปันผล 3-4% บลจ.ทิสโก้ฯ ออกกองทุนลูกผสม ลงทุนเงินฝาก ตราสารหนี้คุณภาพดี มีออพชันหุ้นจีนเปิดโอกาสรับผลตอบแทนไม่จำกัด บลจ.ไทยพาณิชย์ฯ มาแรง เจาะหุ้นผันผวนต่ำต่างประเทศ 90 ตัว เอ็มเอฟซี-แอลเอช ฟันด์ ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองอสังหาฯ -รีทส์

"ฐานเศรษฐกิจ" ได้สำรวจความเคลื่อนไหวการออกโปรดักต์กองทุนรวมของบริษัทจัดการลงทุนในไตรมาส 2 พบว่าเดือนเมษายน ซึ่งเป็นโค้งแรกของไตรมาสดังกล่าว รูปแบบการออกกองทุนจะเน้นตอบโจทย์ 2 เรื่องหลัก คือความผันผวนของตลาดหุ้น และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ

นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ธนชาต จำกัด กล่าวว่า ในช่วงที่ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ พันธบัตรในประเทศอายุ 10 ปี ปัจจุบันต่ำสุดอยู่ที่ 1.54% เท่านั้น ปรับตัวลดลงจากปีที่ผ่านมาที่ผลตอบแทนต่ำสุดอยู่ที่ 2.5% ทำให้เกิดสภาพคล่องในระบบสูงมาก

ขณะที่การลงทุนในหุ้นพบว่ายังคงให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ เพราะปัจจุบันเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3-4% ซึ่งถือว่าสูงกว่าผลตอบแทนจากตราสารหนี้มาก เพราะฉะนั้นการผสมหุ้นมาในพอร์ตลงทุนถือเป็นวิธีเพิ่มผลตอบแทนที่ไม่ทำให้พอร์ตมีความผันผวนมากนักวิธีหนึ่ง

นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทออกกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้น Low Volatility (SCBLEQ) เน้นลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนน้อย เป็นกองทุนแรก มีมูลค่าโครงการ 5 พันล้านบาท

กองทุนดังกล่าวสามารถกำจัดความเสี่ยงที่ในปีนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงมีความไม่แน่นอนสูงจากปัจจัยเสี่ยงหลักเรื่องการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) รวมถึงเศรษฐกิจโลกโดยรวมที่ยังชะลอตัวลง ดังนั้นการลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนน้อย จึงเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้อีกช่องทางหนึ่ง โดยมีโอกาสได้อัพไซด์ หรือมีกำไร ในเวลาที่ตลาดปรับขึ้นและสามารถป้องกันความเสี่ยงในช่วงตลาดขาลง

ขณะที่กองทุน(ลงทุนผ่านกองทุนหลักในต่างประเทศ)จะมีการกระจายการลงทุนในหุ้นกว่า 90 ตัว เน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มการเงิน กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น เป็นต้น

นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บลจ.ทิสโก้ฯ กล่าวว่า บลจ. ทิสโก้ ฯออกกองทุนเปิด ไชน่า ลิ้งค์ คอมเพล็กซ์ รีเทิร์น 5 (TCHLINK5) มีอายุโครงการประมาณ 3 ปี มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท ทั้งนี้เพื่อเป็นทางเลือกการบริหารเงินในยุคดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก

กองทุนดังกล่าวมีอายุโครงการประมาณ 3 ปี โดยมีนโยบายแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 95% ลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้คุณภาพดีทั้งในและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายให้เงินส่วนนี้เติบโตเป็น 100% เมื่อครบกำหนด 3 ปี และส่วนที่เหลือประมาณ 5% จะลงทุนในออพชันที่อ้างอิงผลตอบแทนของดัชนี Hang Seng China Enterprises (HSCEI) ของตลาดหุ้นฮ่องกง โดยส่วนนี้จะสร้างผลตอบแทนเพิ่มให้แก่นักลงทุน หากดัชนีดังกล่าวปรับตัวขึ้นสูงภายในช่วง 3 ปี ผู้ลงทุนก็จะได้รับผลตอบแทนแปรผันตามการเพิ่มขึ้นของดัชนีแบบไม่จำกัดเฉลี่ย 12 ไตรมาส

นางสาวประภา ปูรณโชติ กรรมการผู้จัดการ บลจ. เอ็มเอฟซีฯ กล่าวว่า บริษัทออกกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี สมาร์ท พร็อพเพอร์ตี้ 8 ซีรี่ส์ 2 ( M-PROP8S2) ตั้งเป้าหมายเพื่อเลิกกองทุนไม่น้อยกว่า 8% ภายใน 1 ปี และมีนโยบายลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เพียงหมวดเดียวโดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน โดยสามารถลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และหรือหน่วยทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (รีทส์) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน และหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์

ด้านตลาดกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการลงทุนทั้งสภาพคล่องและการกระจายความเสี่ยงที่ดีขึ้นในด้านประเภทสินทรัพย์ แหล่งที่มาของรายได้ และสถานที่ตั้งของสินทรัพย์ โดยแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะช่วยให้กองทุนและทรัสต์ดังกล่าวมีความสามารถในการสร้างรายได้ที่สูงขึ้น

รายงานข่าวจากบลจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯ หรือ LHFund เปิดเผยว่า บริษัทได้ออกกองทุนเปิดที่มีลักษณะเด่นในด้านการกระจายการลงทุน (Asset Allocation) จำนวน 2 กองทุน คือ “กองทุนเปิด แอล เอช อินคัม พลัส” (LHIP) มูลค่าโครงการ 1 พันล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนรวมผสม ที่มีนโยบายการลงทุนที่เน้นตราสารหนี้/หน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์/หน่วยลงทุนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน/หน่วยทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (รีทส์) เป็นส่วนใหญ่ และอาจลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลสูง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีและสม่ำเสมอ สำหรับลูกค้าที่ยอมรับความเสี่ยงได้ไม่สูงมากนัก

ขณะเดียวกัน ได้เปิดตัว “กองทุนเปิด แอล เอช สมาร์ท อินคัม” (LHSMART) เป็นกองทุนรวมผสมเช่นกัน มีมูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดีหรือมีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลสูง/หน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์/หน่วยทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์/หน่วยลงทุนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นส่วนใหญ่ แต่สามารถลงทุนในตราสารหนี้เพื่อเสริมสภาพคล่องหรือเพื่อลดความผันผวนของตลาดหุ้น เหมาะสำหรับลูกค้าที่สามารถยอมรับความเสี่ยงเรื่องความผันผวนของราคาได้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,153 วันที่ 1 - 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2559