"ตรวจแถวทุนจีน-ฮ่องกงในไทยยังปึ้ก!!!

16 ก.ย. 2562 | 06:50 น.

 

 

 

      แม้ปัญหาภายในฮ่องกงยังร้อนระอุอยู่  การชุมนุมยังลุกฮือเป็นระยะ แต่ที่แน่ๆความเคลื่อนไหวดังกล่าว มีแรงกระเพื่อมถึงไทยแล้วทั้งทางบวกและทางลบ  ดูจากการส่งออกไทยไปฮ่องกง 7 เดือนแรกติดลบ 8.1% และสินค้ากลุ่ม 10 อันดับแรกที่ติดลบ  ก็มีทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (-15%), แผงวงจรไฟฟ้า(-15%), อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด (-13%), เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ (-4%), เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบ (-60%) , ข้าว(-5%)

 

 

  -ทุนจีน-ฮ่องกงตบเท้าเข้าไทยพรึ่บ!

   ในทางกลับกันเมื่อหันมาตรวจแถวบทบาทการลงทุนของฮ่องกง และจีนในประเทศไทย ยังถือว่าอยู่ในแดนที่น่าจับตามองในลำดับต้นๆ  เลยทีเดียว

 

     พิจารณาเปรียบเทียบทุนทางตรงจากต่างประเทศ(FDI)ที่เดินสายเข้ามาในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2558 ถึงเดือนมิถุนายน 2562 มีโครงการจากประเทศจีนและฮ่องกง ยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 607 โครงการ เงินลงทุนรวม 183,000 ล้านบาท 

 

    เมื่อโฟกัสให้แคบลงไปอีก เฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ (มกราคม – มิถุนายน 2562) มีจำนวน 112 โครงการ เงินลงทุน 31,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากถึง 170% และคิดเป็นสัดส่วนกว่า 20 % ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด (FDI)  หรือถ้าเจาะลงไปเฉพาะความเคลื่อนไหวทุนฮ่องกงด้านการลงทุนFDI   ฮ่องกงมาลงทุนไทยเป็นอันดับ 3 (ในช่วง 6 เดือนแรกปี 2562 จากปี 2561 อยู่อันดับ 10)จำนวน 21 โครงการ มูลค่า 1.46 หมื่นล้านบาท

 

   ปัจจุบันการลงทุนจากประเทศจีนและฮ่องกง อยู่ในลำดับที่ 2 รองจากประเทศญี่ปุ่น ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน รวมทั้งยางรถยนต์ซึ่งมีผู้ผลิตรายใหญ่หลายบริษัท เช่น กลุ่ม จงเช่อรับเบอร์ กลุ่มหวาอี้ กลุ่มเซนจูรี่ไทร์ กลุ่มแอลแอลไอที กลุ่มปริ๊งซ์ เฉิงซานไทร์ กลุ่มเจนเนอรัลรับเบอร์ เป็นต้น รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมเหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ กิจการโรงแรม อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และพลาสติก ตามลำดับ ขณะที่อุตสาหกรรมใหม่ๆ อย่างกิจการด้านดิจิทัล กิจการเทคโนโลยีชีวภาพ และกิจการผลิตเครื่องมือแพทย์ ก็เริ่มมีการลงทุนมากขึ้น

"ตรวจแถวทุนจีน-ฮ่องกงในไทยยังปึ้ก!!!

"ตรวจแถวทุนจีน-ฮ่องกงในไทยยังปึ้ก!!!

     ดูจากสถิติการเดินสายเข้ามา การลงทุนจากประเทศจีนและฮ่องกงยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ แต่อีกส่วนหนึ่งมาจากศักยภาพของประเทศไทยที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเป็นประตูสู่อาเซียน  เนื่องจากมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีฐานอุตสาหกรรมสนับสนุนที่แข็งแกร่ง และมีสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เหมาะสมต่อการลงทุน

"ตรวจแถวทุนจีน-ฮ่องกงในไทยยังปึ้ก!!!

     อีกทั้งไทยอยู่ในจุดที่สามารถเชื่อมโยงกับนโยบาย Belt and Road (BRI) รวมทั้งการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับเขตที่มีการเติบโตสูงอย่าง Greater Bay Area (GBA) ซึ่งครอบคลุมมณฑลกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า ได้เป็นอย่างดี  แนวโน้มทุนFDI ของทั้งจีนและฮ่องกงจะเกิดการโยกย้ายฐานผลิตออกมานอกประเทศมากขึ้นด้วยข้อจำกัดหลายประการโดยเฉพาะส่งครามการค้าจีน-สหรัฐที่เป็นตัวเร่งให้ทุนจีนและฮ่องกงปรับทิศทางออกมาลงทุนนอกบ้านมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

-ความไม่สงบขย่มทุนฮ่องกง

     นอกจากตัวเร่งที่เกิดจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐแล้ว  กรณีปัญหาในฮ่องกงก็มีส่วนทำให้ไทยได้อานิสงค์ด้านการลงทุนทางบวก!!!  

 

    รศ.ดร. สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ตั้งข้อสังเกตผ่าน”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า   ยิ่งฮ่องกงไม่สามารถเชื่อมโยงกับจีนได้   ก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจในฮ่องกงขับเคลื่อนด้วยความยากลำบาก  ที่น่าจับตาฮ่องกงในขณะนี้ ระบบการเงินตลาดเงินตลาดทุนร่วงลงต่อเนื่อง ขณะที่ดัชนีหุ้นตามภาวะปกติ กระดานหุ้นฮ่องกงเคยสูงสุดเกือบ 30,000 จุด ขณะนี้ร่วงลงมาที่ระดับ 25,000-26,000 จุด หายไป 20-25%   และเมื่อตลาดเงินตลาดหุ้นในฮ่องกงมีปัญหาจะกระทบต่อนักลงทุนต่างชาติตะวันตก ที่เป็นกลุ่มผู้เล่นหุ้นขาใหญ่อย่าง วอลสตรีท ลอนดอน โตเกียว ที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงจำนวนมาก

 

      อีกทั้งความเป็นท่าเรือนานาชาติของฮ่องกงจะกระทบอย่างรุนแรงเพราะสินค้าจำนวนมากของจีนจะนำเข้าและส่งออกผ่านท่าเรือฮ่องกงที่เป็นท่าเรือรายใหญ่อันดับ 1ใน 5 ของโลก  เช่นเดียวกับสนามบินฮ่องกงก็ได้รับผลกระทบรุนแรง

     รวมถึงภาคบริการอื่นๆ เช่น ภาคท่องเที่ยว ที่เวลานี้ภาคท่องเที่ยวหายไปจำนวนมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ไปเที่ยวฮ่องกงลดปริมาณลง แหล่งช้อปปิ้ง โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร คนเข้ามาใช้บริการ เข้ามาซื้อสินค้าลดลง  โดยเฉพาะสินค้าแบรด์เนมยอดฮิตในฮ่องกง ร่วงลงต่อเนื่อง จากที่เป็นศูนย์รวมสินค้าแบรนด์เนมที่ไม่เสียภาษี หรือเสียภาษีต่ำมาก

     ผลกระทบดังกล่าวลามมาถึงภาคอสังหาฯ  ที่เกิดฟองสบู่อยู่แล้วเพราะมีราคาแพง กำลังถูกจับตาว่าถ้าฟองสบู่แตก ก็จะส่งผลกระทบเป็นโดมิโน เพราะมีการกู้เงินจากสถาบันการเงินในฮ่องกงไปซื้อและไปสร้างเรียลเอสเตท  และบริษัทเรียลเอสเตทจำนวนมากที่ไประดมเงินในตลาดหุ้นก็จะระดมเงินได้น้อยลง

    “เมื่อครั้งที่จีนเปิดประเทศใหม่ๆปี1979 จีดีพีฮ่องกงมีสัดส่วนมูลค่าเท่ากับ 30% ของจีดีพีจีนในขณะนั้น เปรียบเทียบกับตอนนี้สัดส่วนจีดีพีฮ่องกงเหลือไม่ถึง 3% ของจีดีพีจีน  ดังนั้นตราบใดที่ปัญหายังไม่จบ ปล่อยยืดเยื้อต่อไป ฮ่องกงก็จะยืนอยูบนความยากลำบาก เศรษฐกิจฮ่องกงจะต้องเกิดวิกฤตแน่นอน ข้าวของจะมีราคาแพงขึ้น เนื่องจากอยู่ในเกาะเล็กๆมีพื้นที่เพียง 1,100ตารางกิโลเมตร  มีขนาดเล็กกว่าพื้นที่กทม. ที่มีขนาด 1,500 ตารางกิโลเมตร”

    ด้านรศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองกล่าวว่า กรณีจีน-ฮ่องกง ในขณะนี้ดำเนินมาตรการหลักคือ หลีกเลี่ยงการใช้กำลัง  ไม่เช่นนั้นแล้วจะไปทำลายบรรยากาศการลงทุน จีนและฮ่องกง โดยเฉพาะจีนถ้าเกิดความรุนแรงการเติบโตทางเศรษฐกจิอาจจะต่ำกว่า6%ได้  จึงเชื่อว่าจีนจะอดกลั้นให้มากที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยง  และใช้วิธีเจรจาระหว่างแกนนำผู้ประท้วงและรัฐบาลฮ่องกง  ในขณะที่เศรษฐกิจในฮ่องกงช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ปีนี้ติดลบแล้ว

 

   การเคลื่อนไหวข้างต้นปัญหาในฮ่องกงจะเป็นอีกตัวเร่งที่ทำให้กลุ่มทุนในฮ่องกงต้องทบทวนกระจายความเสี่ยงออกไปลงทุนนอกประเทศมากขึ้น ในขณะที่กลุ่มทุนจีนก็ต้องย้ายฐานหรือขยายการลงทุนออกนอกประเทศหนีปัญหาเทรดวอร์จีน-สหรัฐฯ

"ตรวจแถวทุนจีน-ฮ่องกงในไทยยังปึ้ก!!!

     ดังนั้นโอกาสที่ทุนทั้งฮ่องกงและจีน จะออกมากระจายความเสี่ยงนอกประเทศโดยการย้ายฐานหรือออกมาขยายการลงทุนนอกบ้านก็มีความเป็นไปได้สูงและไทยก็จะเป็นประเทศทางเลือกในลำดับต้นๆ ที่ขณะนี้ภาครัฐรีบออกมาเด้งรับชูจุดขาย คือการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี รวมถึงแพคเกจThailand Plus เร่งรัดการลงทุนและรองรับการ ย้ายฐานการผลิตสืบเนื่องจากผลกระทบของสงครามการค้า  ที่รัฐบาลออกมาโหมโรงแล้ว

 

 

แบบนี้การันตีได้ว่าทุนจีน-ฮ่องกงในไทยนอกจากยังปึ้กแล้ว  ยังมีทุนใหม่ทะยอยเดินสายเข้ามาปักหมุดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแน่นอน!!!

 

คอลัมน์ : Let Me Think
โดย       : TATA007

"ตรวจแถวทุนจีน-ฮ่องกงในไทยยังปึ้ก!!!